ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 14° 36' 24.4523"
14.6067923
ลองจิจูด (แวง) : E 104° 29' 25.1138"
104.4903094
เลขที่ : 101585
ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค หรือประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์
เสนอโดย ssk วันที่ 3 กรกฎาคม 2554
อนุมัติโดย ศรีสะเกษ วันที่ 30 มิถุนายน 2564
จังหวัด : ศรีสะเกษ
0 3911
รายละเอียด

ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค

ประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์หรือเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นเขมรว่าประเพณี “ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค” เป็นประเพณีการบูชาพระจันทร์ของชาวบ้านเขมรถิ่นไทย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นถิ่นคือ เขมร ส่วยหรือกูย ลาว และเยอ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นพหุลักษณ์ทางสังคมสูง ประเพณี “ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค” ถือเป็นประเพณีของท้องถิ่น ที่ให้ความสำคัญต่อวิถีแห่งธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับหลักทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม นิยมกำหนดทำกันในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี (ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒) ซึ่งปกติเรามักคุ้นเคยกับประเพณีไหว้พระจันทร์แบบชาวจีน เพราะมีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นจำนวนมาก แต่น้อยคนนักจะรู้จักประเพณีพื้นบ้านของชาวเขมรที่เรียกว่า ประเพณีไหว้พระจันทร์หรือ “ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคซึ่งแปลได้ตรงตัวคือ

ปังอ๊อก แปลว่า การป้อน หรือ การกรอก

เปรี๊ยะแค แปลว่า พระจันทร์

ปังอ๊อกเปรี๊ยะแคจึงแปลว่า การป้อนพระจันทร์หรือการกรอกพระจันทร์ซึ่งนิยมนำข้าวเม่า ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านอาหารพื้นบ้านของชาวไทย ที่เป็นข้าวแรกรวงหรือข้าวออกรวงใหม่ หรือที่เรียกว่า “ข้าวออกรวง” หรือ “ข้าวกำลังเม่า” มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำพิธีป้อนข้าวพระจันทร์ ข้าวเม่า ยังถือเป็นอาหารทิพย์เพราะเป็นข้าวแรกรวงที่มีน้ำนมข้าวสูง (มีคุณค่าทางอาหารสูง) และยังมีความเชื่อกันว่า ข้าวเม่าที่นำมาประกอบพิธีนี้ ถ้าใครได้กินจะมีความเป็นศิริมงคล แคล้วคลาดจากสิ่งเลวร้าย กล่าวกันว่าในอดีตหนุ่ม ๆ ชาวเขมร จะรอโอกาสกำข้าวเม่าป้อนใส่ปากให้สาวๆ ที่ตนเองหมายปอง ถือเป็นการบอกความนัยว่า เขาพร้อมที่จะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองชีวิตของสาวคนนั้น

กิจกรรมที่สำคัญของประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคอีกอย่างหนึ่งคือ การเสี่ยงทายฤดูกาล โดยการใช้เทียนจากขี้ผึ้งแท้ ที่ชาวบ้านนำมาแปะติดกับสากตำข้าว จำนวน ๘ เล่ม โดยจะเริ่มทำพิธี เมื่อถึงเวลาพระจันทร์ตั้งตรงศีรษะหรือประมาณเที่ยงคืน หลังจากมีการตักบาตรข้าวเม่าเสร็จแล้ว พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์และสวดบทจันทปริตรหรือปริตรแห่งดวงจันทร์ ผู้นำพิธีจะจุดเทียนที่ติดยึดกับสากตำข้าว โดยคนนำประกอบพิธี เป็นผู้ทำนายผลจากการสังเกตหยดน้ำตาเทียน จากเทียนทั้ง ๘ เล่ม ซึ่งเทียนทั้ง ๘ เล่ม เป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาลในรอบเดือนที่สำคัญต่อการทำการเกษตรกรรมคือ

เล่มที่ ๑ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๕ (เมษายน)

เล่มที่ ๒ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๖ (พฤษภาคม)

เล่มที่ ๓ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๗ (มิถุนายน)

เล่มที่ ๔ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๘ (กรกฎาคม)

เล่มที่ ๕ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๙ (สิงหาคม)

เล่มที่ ๖ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๑๐ (กันยายน)

เล่มที่ ๗ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๑๑ (ตุลาคม)

เล่มที่ ๘ เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน ๑๒ (พฤศจิกายน)

การประกอบพิธีกรรมการเสี่ยงทายฤดูกาลจากน้ำตาเทียนนี้ จะสังเกตน้ำตาเทียนที่หยดออกจากเทียนที่มีการหมุนสากตำข้าวที่นำเทียนมาติดไว้ โดยสังเกตว่า หากน้ำตาเทียนค่อย ๆ หยดจากเทียนเล่มไหนก็แสดงว่าช่วงของเดือนนั้นจะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับ ลม ฟ้า (เมฆ) และ ฝน (น้ำ) อย่างไร ถ้าเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดถี่ การกระพริบของไฟแรงหรือดับไปก็แสดงว่าฝนจะตกมากและมีลมแรง ตรงกันข้ามกันว่าถ้าหากเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดน้อย ไฟไม่กระพริบ ก็แสดงว่าฝนไม่ค่อยตกหรืออาจจะแล้งในช่วงเดือนนั้น และไม่มีลมพัด ขณะที่หากไส้เทียนเผาไหม้ตกลงเป็นประกายไฟ หมายถึง จะมีฝนฟ้าคะนองมากจนอาจเกิดอุทกภัยขึ้นได้ น้ำตาเทียนที่หยดลงพื้นที่ชาวบ้านใช้ใบตองรองรับไว้ เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และนิยมนำไปทำเป็นนวดมหาเสน่ห์ จึงมักจะพบว่า เมื่อทำพิธีเสร็จน้ำตาเทียนที่หยดลงใบตอง จะได้รับการจับจองและแย่งกันเป็นเจ้าของ จากนั้น พระสงฆ์จะนำชาวบ้านกล่าวคำอาราธนาศีล แล้วจึงโปรยกล้วยและข้าวเม่าให้ชาวบ้านได้เก็บไว้ เพื่อถือเป็นสิริมงคลและเป็นสัญลักษณ์เริ่มต้นปีทำเกษตรกรรมอีกครั้ง

คำว่า “ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค” เป็นภาษเขมร“ปังอ๊อก”แปลว่า “ป้อน หรือ กรอก” เป็นคำ กริยา ได้แก่ การใส่ของเข้าไปในช่องปาก เช่นการป้อนข้าวลูกหมายถึง ให้อาหารลูกที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ หรือที่เราพูดกันว่า “ข้าวป้อน” นั้นเอง (เปรี๊ยะ=พระ, แค=พระจันทร์) ที่เราออกเสียงว่าพระเขมรออกเสียงว่าเปรียะเช่นพระพุทธเขมรพูดว่าเปรี๊ยะปุทธ์หรือ พระพุทธองค์ เขมรว่า เปรี๊ยะปุทธองค์ พระอรหันต์ เขมรว่า เปรี๊ยะอรหันต์ เป็นต้น เมื่อนำเอาคำดังกล่าวมาผสมกันว่าปังออกเปรียะแคหรือปังอ๊อกเปรี๊ยะแคจึงแปลว่าป้อนข้าวพระจันทร์หรือ ป้อนข้าวดวงจันทร์

ประเพณีปังออกเปรี๊ยะแคนี้ กำหนดทำกันในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) ซึ่งตรงกับประเพณีลอยกระทงนั้นเอง ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคนี้มีทำกันอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เขมรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในบางหมู่บ้าน ตำบล ของอำเภอไพรบึงและขุนหาญ และยังเป็นประเพณีสำคัญของประเทศกัมพูชา ( เขมรต่ำ ) ซึ่งเรียกว่า บอน อม ตุก” (เทศกาลน้ำ)

ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคที่ได้รวบไว้นี้ เป็นรายละเอียดของประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค ที่ชาวบ้านพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ทำกันมาและยังมีการถ่ายโอน สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และถือว่าชาวบ้านพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้มีการสืบทอดประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคมาหลายชั่วอายุคนแล้ว

อุปกรณ์ที่จะต้องเตรียมใช้ในการประกอบพิธี คือ

๑.ชายหนุ่ม บริสุทธิ์ ๔ คน

๒.สาววัยรุ่น บริสุทธิ์ ๔ คน

๓.ครกซ้อมข้าวหรือครกตำข้าว ๒ ลูก

๔. สากไม้ซ้อมข้าว ๑ อัน ( ยาวประมาณ ๑ วาเศษ)

๕.เทียนขี้ผึ้งแท้ ๘ เล่ม ( ขนาดเท่ากัน)

๖.ข้าวเม่า ๒ จาน

๗.มะพร้าวอ่อน ๒ ลูก

๘.กล้วยสุก ๘ ลูก

๙.ใบตองกล้วย ๒ ก้าน

๑๐.ช้อน ๒ คัน

ก่อนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ทางวัดหรือทางบ้านจะมีการประกาศให้ทราบล่วงหน้าสัก ๒ -๓ วันเพื่อเป็นการเตือนย้ำชาวบ้าน (ความจริงชาวบ้านจะเข้าใจและจดจำได้อยู่แล้ว ) แต่การประกาศจะทำให้ชาวบ้านตื่นตัวมากขึ้น

เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ทางวัดต้องจัดเตรียมสถานที่ เช่น ปัดกวาดสนามบริเวณวัดทั่วไป ทำความสะอาด ประดับประดาศาลาการเปรียญ ปูเสื่อสาดอาสนะ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาให้เรียบร้อยติดตั้งเครื่องขยายเสียงและอื่นๆ ไว้ให้พร้อม รายละเอียดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมกับวัด ที่ต้องร่วมกันทำประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค

กิจกรรมเสริมที่สร้างบรรยากาศให้ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคมีความสนุกสนานรื่นเริง จนกลายเป็นเทศกาลที่หนุ่มสาวเฝ้ารอ คือ การเล่นสะบ้า เล่นวิ่งราว เล่นชักเย่อ เป็นต้น สร้างบรรยากาศให้ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคมีความครึกครื้น ตามประสาของเด็กอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงเกรียวกราวทั่วสนามบริเวณวัด

ชาวบ้านรับประทานอาหารเย็นเสร็จจากบ้านของแต่ละคนแล้ว จะมีการคั่วข้าวเม่า แล้วจะมีการซ้อมหรือตำข้าวเม่าใส่จานหรือกะละมังใหญ่เอาไว้ นอกจากมีข้าวเม่าแล้วบางคนมีกล้วยหรือบางคนมีน้ำตาลด้วย

กรรมการหรือทายกวัดต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จะประกอบพิธีไว้ให้พร้อม ที่สำคัญคือ บาตรสำหรับตักบาตรข้าวเม่า ๘ ลูกไว้ในที่จะใสบาตรควรหาจานกาละมังใหญ่ ๆ วางไว้ที่ตัวบาตรนี้ด้วย เวลาชาวบ้านใส่บาตรข้าวเม่าเต็มบาตรจะได้ถ่ายออกสะดวก

ประมาณ ๔ ทุ่ม หรือ ๒๔.๐๐ น.ชาวบ้านพร้อมกันที่ศาลาการเปรียญ นิมนต์พระสงฆ์สามเณรลงไปรวมกันที่ศาลาการเปรียญ เมื่อพร้อมแล้วให้หัวหน้าผู้นำพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยไหว้พระรับศีล อาราธนาพระปริตร จันทรปริตด้วย (พระปริตรแห่งดวงจันทร์) ต่อด้วยถวายพรพระ (สวดตักบาตร) เมื่อพระสงฆ์สามเณรสวดถึงบทพรพระ ให้ชาวบ้านลุกขึ้นเอาข้าวเม่าไปใส่บาตร

เมื่อใกล้ เวลา ๒๔.๐๐ น.กรรมการวัดและทายกจะนำเอาครก สาก และอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ไปตั้งสนามกลางแจ้ง ซึ่งจะมีบริเวณที่คนดูได้มาก ๆ (พิธีนี้ต้องทำกลางแจ้ง) โดยตั้งครกลูกหนึ่งทางทิศเหนือ อีกลูกหนึ่งตั้งทางทิศใต้ ระยะห่างกันประมาณหนึ่งเมตรเศษ ๆ เอาสากตำข้าววางพาดที่ปากครกแล้วเอาเทียนขี้ผึ้งแท้ (ขนาดใหญ่–ยาวเท่ากัน) จำนวน ๘ เล่ม ติดกับสากตำข้าวโดยให้ตั้งฉากขึ้น แล้วเอาใบตองกล้วย ๒ ก้าน วางกับพื้นใต้สากระหว่างครกทั้งสอง (เพื่อรองรับน้ำตาเทียนซึ่งจะหยดลง) จัดหนุ่มสาว ๘ คน จัดเป็นจำนวน ๔ คู่ โดยให้จับสากด้านทิศใต้ ๒ คู่ และจับสากด้านทิศเหนืออีก ๒ แล้วให้ชายหญิงแต่ละคู่เอาช้อนตักข้าวเม่าในจานป้อนซึ่งกันและกัน (ชายป้อนหญิงหญิงป้อนชาย) ป้อนข้าวเม่าเสร็จแล้วป้อนกล้วยสุข สุดท้ายจึงเอาน้ำมะพร้าวอ่อนให้ดื่มร่วมกัน

ชาวบ้านจะมีการสังเกตพระจันทร์หรือดวงจันทร์บนท้องฟ้าว่าใกล้จะตรงศีรษะแล้วหรือยัง ถ้าเห็นว่าใกล้จะตรงแล้วให้พิธีกรหรืออาจารย์ทายกประจำวัด สวดชุมนุมเทวดา (สัคเค กาเม จะ รูเปฯ)เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น

เมื่อมองดูท้องฟ้าเห็นพระจันทร์อยู่ตรงศีรษะ ให้จุดเทียนชนวน ๘ เล่ม ยื่นให้หนุ่มสาวทั้ง ๘ คน (ข้างละ ๔ คน) ให้หนุ่มสาวเอาเทียนชนวน จุดเทียนขี้ผึ้งที่ติดสากไว้แล้วพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าเทียนทุกเล่มติดไฟแล้วให้หนุ่มสาว หมุนสากโดยเริ่มหมุนเวียนขวา ขึ้น –ลง ช้าๆ เทียนแต่ละเล่มจะลุกไหม้ ขณะที่หมุนสากลงด้านล่างเทียน ก็จะเกิดหยดน้ำตาเทียนลงบนใบตองกล้วย ให้หนุ่มสาวหมุนสากตำข้าวที่มีเทียนชนวนติดอยู่ไปเลื่อย ๆ จนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมด

เทียนที่ติดบนสากตำข้าวทั้ง ๘ เล่มนั้น เป็นเครื่องหมายของเดือนที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลที่มีฝนตกและช่วงก่อนที่จะเข้าสู่การเก็บเกี่ยวรวมจำนวน ๘ เดือน เริ่มนับเอาเดือน ๕ (ปีใหม่โบราณหรือเดือนเมษายน) ถึงเดือน ๑๒ (เดือนพฤศจิกายน) โดยนับจากทิศใต้เป็นเล่มที่ ๑ (เริ่มจากเดือน ๕,๖,๗,๘,๙,๑๐,๑๑) ตามลำตับ ที่ต้องนับจากด้านทิศใต้ เพราะฤดูฝน ลมมรสุมจะพัดจากใต้ไปทางทิศเหนือ

ขณะที่เริ่มหมุนสาก ขึ้น - ลง พระสงฆ์สามเณรจะมีการสวดชัยมงคลคาถา (ชยันโต) สวดไปจนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมดจึงหยุดหมุนสาก พระสงฆ์สวดต่อด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลังฯ

การตั้งข้อสังเกตในการเสี่ยงทายฟ้าฝน ให้สังเกตว่า เทียนเล่มไหนไฟลุกไหม้แรงหรือเบา (มากหรือน้อย) เล่มไหนมีลมพัดหรือเบาหรือเล่มไหนไม่มีลมพัดเลย ซึ่งแต่ละเล่มจะแตกต่างกัน เช่น ถ้าเทียนเล่ม ที่ ๑ (เดือน ๕) เทียนติดไฟลุกไหม้แรง แสดงว่าเดือน ๕ ต้องมีฝนตกหนัก ชาวไร่ชานาเตรียมตัวได้ ถ้าเล่มที่ ๒ (เดือน ๖) เทียนลุกไหม้แรงด้วย มีลมพัดเทียนแรงด้วย แสดงว่าเดือนหกจะมีทั้งฝนทั้งลม ถ้าสังเกตเห็นเทียนเล่มไหนไฟลุกไม่แรงเดือนนั้นจะแล้งหรือฝนน้อย

น้ำตาเทียนที่หยดลงบนใบตองกล้วย ถือว่าเป็นของดี เอาไปทำเป็นสีผึ้งเสน่ห์ (นวดเสน่ห์) ผสมน้ำมันจันทน์ทาสีปาก ทาหน้า เป็นเสน่ห์ให้คนรักดีนักแล (แต่ต้องให้อาจารย์หมอเสน่ห์ทำให้) ชาวบ้านอยากได้กันมาก เมื่อเสร็จพิธีต้องยื้อแย่งกันชุนละมุนวุ่นวายไปหมดเพื่อให้ได้น้ำตาเทียนที่หยดลงใบตอง

เมื่อพิธีเสี่ยงทายฟ้าฝนจบลงแล้ว พระภิกษุสามเณรก็จะให้พร “ยะถา สัพพีฯ” แล้วพากันกลับบ้านเรือนของตน ปีหน้าค่ายทำกันใหม่ ถ้าเราจะพิจารณาถึงเหตุผลของ “ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค” ให้ลึกซึ้ง ต้องยอมรับว่า นักปราชญ์บรรพบุรุษของท้องถิ่นมีความเฉลียวฉลาดมาก ๆ ที่คิดค้นและจัดประเพณีอันนี้ขึ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ คือ

๑.เป็นไปตามคติธรรมทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการให้ทาน (ทำบุญให้ทาน) หมายความว่าชาวบ้านเราส่วนมาก มีอาชีพในการทำไร่ทำนาหรือเกษตรกร เช่นเดียวกับตระกูลของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ผลิตผลอะไรจากการทำไร่ทำนา ก็จะนำไปถวายพระภิกษุ สามเณร (ให้ทาน) เพื่อต้องการบุญกุศล เช่น ผลไม้ที่ออกใหม่ ก่อนที่จะกินด้วยตนเองหรือครอบครัวเอาไปทำบุญ (ถวายพระเณร) เสียก่อน จึงเป็นสิริมงคล

ในการทำนาก็เหมือนกัน คนโบราณทำบุญให้ทานเกี่ยวกับข้าวถึง ๕ ครั้ง เริ่มแต่พอข้าวออกรวงเป็นน้ำนมหรือเป็นเม่า เขาก็จะไปเด็ดเอารวงข้าวมาทำเป็น “ข้าวมธุปายาส” นำข้าวไปถวายพระเณรครั้งหนึ่ง ก่อนจะลงมือเกี่ยวข้าวก็ทำบุญครั้งหนึ่ง เมื่อขนข้าวเข้าลานก็ทำบุญครั้งหนึ่ง ก่อนนวดข้าวก็ทำบุญครั้งหนึ่ง จนกระทั้งขนข้าวขึ้นยุ่งขึ้นฉางก็ทำบุญครั้งหนึ่ง

๒.ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง ไม่มีแม่น้ำลำคลองใหญ่โต ในอดีตชาวอีสานไม่นิยมจัดประเพณีลอยกระทง แต่ปัจจุบันเกิดลัทธิสมัยนิยมแบบการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ผ่านระบบการปกครองและการศึกษาที่ถูกปลูกฝังว่า ประเพณีลอยกระทงคือสิ่งที่คนที่ทุกภูมิภาค ทุกชุมชน ต้องปฏิบัติในวันเพ็ญเดือน ๑๒ การทำพิธีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคจึงเน้นเฉพาะการทำนายฤดูกาลเท่านั้น (ในอดีต) ปัจจุบันมีการผสมผสานร่วมกับประเพณีลอยกระทง

๓.การที่ชาวบ้านพรานและชาวบ้านเขมรหลายหมู่บ้าน ยังจัดทำประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคอยู่ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดแล้ว นอกจากเป็นการรักษาไว้ซึ้งมรดกอันล้ำค่าของบรรพบุรุษแล้ว ชาวบ้านยังได้ทำบุญข้าวเม่าตามคติธรรมทางพระพุทธศาสนาด้วย พระเณรที่วัดก็ได้ฉันข้าวเม่าเต็มที่ เพราะปีหนึ่งๆ จะได้ข้าวเม่าหลายกาละมัง เป็นการเตือนสติพวกเกษตรกรไม่ให้ประมาทในการประกอบอาชีพ (สัมมาอาชีวะ)

ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค หรือ ประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์ ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อธรรมชาติ ที่ได้มอบความอุดมสมบูรณ์มาสู่โลกมนุษย์ โดยเอาพระจันทร์เป็นตัวแทนหรือเป็นสัญลักษณ์ รวมทั้งเป็นการเสี่ยงทายฤดูกาล (คล้ายพิธีแรกนาขวัญ) ว่าปีนี้ฤดูกาลจะเป็นอย่างไรบ้าง ฝนจะตกมากน้อยเพียงใด ข้าวปลาอาหารจะมีความสมบูรณ์เพียงพอหรือไม่ และเหตุการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของอาถรรพณ์ หรือพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงของคืนพระจันทร์เต็มดวง ถือเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่มีกันอยู่ทั่วโลก โดยหลักวิทยาศาสตร์ การกำเนิดขึ้นของดวงจันทร์ส่งผลให้เกิดฤดูกาล เมื่อเกิดฤดูกาลเกิดนำมาซึ่งการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตที่มีฤดูกาลเป็นตัวกำหนด และมีดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดฤดูกาลอีกที ที่ถือว่าเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับพระจันทร์เต็มดวง ที่คุ้ยเคยที่สุดก็คือ น้ำขึ้นน้ำลงของทะเล เป็นผลจากที่พระจันทร์เต็มดวงนั่นเอง วัฒนธรรมของหลาย ๆ ศาสนาก็ถือเอาสัญลักษณ์ของพระจันทร์เต็มดวง เป็นสัญลักษณ์ของฤกษ์ยามที่กำหนดฤดูกาลมาหลายชั่วอายุคน เช่น ศาสนาอิสลาม ใช้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดเทศกาลถือศีลอดหรือที่เรียกว่า “เดือนรอมฎอน หรือ เดือนบวช” และศาสนาพุทธ ใช้พระจันทร์เป็นตัวกำหนดวันสำคัญทางศาสนา รวมถึงประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแคหรือประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์ สำหรับในประเทศไทยก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนไทยเชื้อสายจีนและเวียดนาม ก็มีพิธีไหว้พระจันทร์กันเป็นประจำทุกปี แต่ไม่ค่อยจะมีใครได้ยินว่า มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการไหว้พระจันทร์ของชาวเขมรกันสักเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ความเชื่อเหล่านี้ ชาวเขมรก็มีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่กลับห่างหายจากชุมชนไปในช่วงที่รัฐบาลส่งเสริมความเป็นแบบเชิงเดี่ยวคือ “คิดต่างคือต่างพวก” อย่างน่าเสียดายเมื่อ ๕๐-๖๐ ปีมานี้เอง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าอิทธิพลของวัฒนธรรมสมัยใหม่ จากต่างแดน ได้เข้ามาเบียดพื้นที่ของวัฒนธรรมชุมชนจนตกขอบ หรือ อาจจะเป็นด้วยเหตุที่วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นแปรเปลี่ยนไป จากที่เคยมีความเชื่อในเรื่องดินฟ้าอากาศ เกี่ยวกับโหราศาสตร์ หรือ มีความเคารพต่อธรรมชาติ ต่างก็หันไปให้ความสำคัญ กับวัฒนธรรมที่มากับกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ขาดความเชื่อถือในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ มีแต่การแข่งขันด้วยเทคโนโลยี จนกระทั่งหลงลืมเรื่องราวดีๆ ของชุมชนไป

พิธีกรรมความเชื่อในการบูชาพระจันทร์ของชาวเขมร หรือ พิธี“ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค”นับได้ว่าเป็นปรัชญาที่สอนให้คนรู้จักความรักความสามัคคี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการแบ่งปัน รู้จักประมาณตน มีเหตุ มีผล รู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองด้วยความไม่ประมาท ซึ่งล้วนแต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่จะนำไปสู่วิถีการพึ่งตนเองแบบพอเพียง และความเป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวเขมรในพื้นที่อีสานใต้มานาน ปัจจุบันนี้ ในดินแดนอีสานใต้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับ ดินแดนแห่งไสยศาสตร์เวทมนต์ ก็ยังมีการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้ในชุมชนโบราณบางหมู่บ้านเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ไม่ถึง ๑๐% เช่น อำเภอขุนหาญ อำเภอไพรบึง แต่ทุกชุมชนที่ถือปฏิบัติกันมาก็ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนนักและไม่สามารถบอกถึงเหตุผลในการกระทำได้เพราะแต่ละชุมชนต่างละทิ้งพิธีกรรมนี้ไปนานกว่า ๔๐ - ๕๐ ปี เป็นอย่างน้อย เพิ่งจะมีการฟื้นฟูสืบทอดประเพณี และพิธีกรรมของชุมชนกลับคืนมาเพียงไม่กี่ปีมานี้เอง ทั้งหมดทั้งสิ้นของการดำเนินการของแต่ละชุมชนก็เพราะอยากสืบทอดประเพณีและพิธีกรรมแห่งความงดงามเอาไว้ และด้วยเหตุที่วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกละเลย ทำให้การสืบสานทั้งรูปแบบความเชื่อ และพิธีกรรมผิดเพี้ยนไปจากเดิมอยู่มาก บางชุมชนอาจละทิ้งสาระสำคัญหรือเจตนารมณ์ดั้งเดิม แต่กลับไปให้ความสำคัญกับการลอยกระทง (ผสมผสานกับปัจจุบันจนลืมรากเหง้าดั้งเดิม) ซึ่งจัดขึ้นในวันเดียวกันมากกว่า ทำให้“พิธีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค” นั้นเป็นเพียงส่วนประกอบอย่างหนึ่งของงานลอยกระทงเท่านั้น ด้วยความเป็นห่วงว่าในอนาคตลูกหลานชาวเขมรว่าจะไม่มีใครรู้จักพิธีกรรมดีๆ อย่างนี้ สภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ และองค์กรปกครองส่วนตำบลพราน จึงได้มีการมีการดำเนินการสืบค้นข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค เพื่อเสนอขึ้นเป็นมรดกทางภูมิปัญญา และร่วมกันสืบค้นถึงตำนานความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับ“พิธีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค”เพื่ออนุรักษ์ สืบทอด และเผยแพร่ต่อไป

ที่มาข้อมูล:สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ. (๒๕๔๘). เอกสารเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ. มปท.

สถานที่ตั้ง
บ้านพราน
หมู่ที่/หมู่บ้าน 2 บ้านพราน
ตำบล พราน อำเภอ ขุนหาญ จังหวัด ศรีสะเกษ
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ อีเมล์ sisaket@m-culture.go.th
ถนน เทพา
ตำบล เมืองเหนือ อำเภอ เมืองศรีสะเกษ จังหวัด ศรีสะเกษ รหัสไปรษณีย์ 33000
โทรศัพท์ 045-617811 โทรสาร 045-617812
เว็บไซต์ https://www.m-culture.go.th/sisaket
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่