ขุนศรีประทุมวงศ์ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในสำนักพระอาจารย์อินทร์ วัดศรีบุญเรือง จังหวัดสกลนคร ๑๕ วัน เป็นผู้มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนและหนักแน่นอยู่ในพระพุทธศาสนา มีเมตตากรุณากว้างขวางโอบอ้อมอารีแก่บรรดาญาติพี่น้องและบุคคลทั่วไป เป็นผู้มีความเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนามาก จนได้ยอมอุทิศที่ดินส่วนตัวเนื้อที่ ๒๑ ไร่ ถวายสร้างเป็นวัดป่าขึ้นไว้ที่หมู่บ้านพังโคน ให้มงคลนามว่า “ วัดศรีจำปาชนบท ” เป็นวัดพระธรรมยุติ โดยพระอาจารย์คำ ญตฺสปุตฺโต ผู้เป็นลุงที่เคารพนับถือของท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระ เณรอยู่เป็นประจำมิได้ขาดทุกปีและเป็นวัดที่ท่านรักษาศีล เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นกิจวัตรประจำเสมอมา
ในวาระสุดท้าย ขุนศรีประทุมวงศ์ ป่วยเป็นไข้เริ่มมาแต่วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ อาการมีแต่ทรงกับทรุดแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณไม่สามารถที่จะเยียวยาได้ ถึงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. ได้ถึงแก่กรรมที่บ้านพังโคน ตำบลม่วงไข่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร คำนวณอายุได้ ๗๒ ปี ภรรยาและบุตรหลานจึงได้เก็บศพของท่านไว้ที่วัดศรีจำปาชนบท และได้พร้อมกันประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดศรีจำปาชนบท ในวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔
อนึ่ง ขุนศรีประทุมวงศ์ เป็นชาวภูไท เป็นผู้ใหญ่ในต้นตระกูลที่ขอจดทะเบียนชื่อสกุล “ วงศ์ปทุม” อันสืบเนื่องมาจากรองอำมาตย์เอก พระปทุมเทวาพิทักษ์ ( คำไชย วงศ์ปทุม ) อดีตเจ้าเมืองจำปาชนบท (บ้านนาเหมืองในปัจจุบัน ) แต่มาภายหลังท่านได้ขอจดทะเบียนชื่อสกุล “ ศรีประทุมวงศ์ ” อันเป็นราชทินนามของท่านมาเป็นชื่อสกุล บรรดาญาติพี่น้องสกุล “ วงศ์ปทุม ” บางคนก็ได้เปลี่ยนไปใช้ “ ศรีประทุมวงศ์ ” ตามท่าน และญาติบางคนก็คงใช้สกุล “ วงศ์ปทุม ” จึงได้มีการสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิ ขึ้นในวัดศรีจำปาชนบท