พระเจ้าใหญ่ผือบังเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอบ้านไผ่มาแต่ดั้งเดิมมีขนาดหน้าตักกว้าง๕ศอกสูง๗ศอกประดิษฐานอยู่ที่วัดบูรณะสิทธิ์บ้านหนองร้านหญ้าตำบลหัวหนองอำเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่นได้ค้นพบพระพุทธรูปองค์นี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๐ชาวบ้านได้กำหนดเอาวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๖ของทุกเป็นปีเป็นนมัสการมีการทำบุญบั้งไฟขอฟ้าขอฝนให้อุดมสมบูรณ์
ประวัติความเป็นมาพ.ศ.๒๔๒๐ชาวบ้านซึ่งมีอาชีพเป็นพรานป่าได้พบพระพุทธรูปนั่งประดิษฐานอยู่บนแท่นอิฐที่ผุพังในป่าทึบลักษณะขององค์มีขนาดใหญ่เศียรหักพระนาสิกขาดหายไปส่วนพระกรรณมีเหลืออยู่ข้างเดียวและพระกรข้างหนึ่งหักถ้าดูตามสภาพของพระพุทธรูปแล้วจะเห็นถึงความเก่าแก่ขาดการดูแลและการปฏิสังขรณ์เหตุเพราะบริเวณรอบ ๆ มีร่องรอยของความเป็นวัดร้างอยู่ท่ามกลางป่ารกทึบนอกจากนั้นทางด้านทิศเหนือบริเวณใกล้เคียงกันห่างประมาณ๓๐๐เมตรปรากฏเป็นเนินสูงมีลักษณะเนินกรุเก่าปกคลุมไปด้วยพันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆมากมายด้านตะวันออกก็มีหนองน้ำซึ่งเต็มไปด้วยต้นกก (ชาวพื้นเมืองอีสานเรียกต้นผือจึงเรียกหนองน้ำตามลักษณะที่พบเห็นว่าหนองผือ)และยังได้พบกับไหหินขนาดใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ริมสระสูประมาณหนึ่งเมตรครึ่งวัดโดยรอบก็ได้หนึ่งเมตรครึ่งเช่นกันมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาถึงความศักดิ์สิทธิ์นิ่งที่กล่าวถึงเบื้องต้นว่าพอถึงวันโกนหรือวันพระในบริเวณดังกล่าวจะได้ยินเสียงฆ้องกลองและเสียงผู้คนจำนวนมากคล้ายกับว่ามีการทำบุญตามประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เป็นประจำขณะเดียวกันบริเวณใกล้เคียงซึ่งเป็นลำห้วยเรียวกว่า ห้วยเกิ้งหรือกุดเกิ้งน้ำซึ่งเดิมมีลักษณะใสปกติจะเกิดการเคลื่อนที่เหมือนถูกกวนให้ขุ่นข้นคล้ายมีช้างเป็นโขลงมาลงเล่นน้ำอีด้านหนึ่งของหนองน้ำปรากฏเป็นรอยเปียกคล้ายหยุดน้ำที่เกิดจากการหาบน้ำแล้วกระเพื่อมตกลงดินไปถึงที่ตั้งของไหหินใบนั้นปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความเชื่อและล่ำลือกันว่าไหหินใบนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักสามารถกลิ้งตัวเองไปอาบน้ำที่ห้วยเกิ้งได้ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เป็นประจำเรื่อยมาทุกปีต่อมาได้มีการรายงานให้กรมศิลปากรมาพิสูจน์ได้มีการพิสูจน์หลักฐานจากลักษณะพระพุทธรูปและอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างแล้วยืนยันว่าสร้างขึ้นในทวารวดีและหลักฐานทางภูมิศาสตร์บริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางการคมนาคมติดต่อกันระหว่างอาณาจักรทวารวดีอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรโคตรบูรณ์อีกด้วยดังนั้นกรมศิลปากรจึงได้นำไปหินไปเก็บรักษาไว้ยังพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดนครราชสีมา
กาลครั้งนั้นปรากฏเหตุเหลือเชื่อคือเกวียนที่กรมศิลปากรนำมาบรรทุกไหหินได้หักถึง๓ครั้งต้องมีการบวงสรวงก่อนจึงสามารถนำไหหินไปด้วยเมื่อมีการสร้างวัดขึ้นมาและได้รับให้จัดตั้งเมื่อวันที่๑๓พฤษภาคม๒๔๗๘ชื่อวัดบูรณะสิทธิ์องค์พระก็ได้รับการบูรณะไปพร้อมกับพระอุโบสถความศรัทธาของพระเจ้าใหญ่ได้เล่าต่อมาว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๗ในห้วงระยะเวลาที่ได้มีการขออนุญาตสร้างวัดขึ้นนั้นได้มีพวกมิจฉาชีพนำเครื่องมือไปเจาะที่ท้ององค์พระพุทธรูปเพื่ออาจจะหาทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่เมื่อได้แล้วก็นำไปเพียงแค่๗วันก็มีอาการคลั่งป่าวร้องให้ชาวบ้านได้รู้ว่าตัวเองเป็นผู้กระทำทั้งนี้เป็นไปโดยที่ไม่มีผู้ใดไต่ถามและอยู่ต่อมาไม่นานก็ถึงแก่ความตายโดยไม่ทราบสาเหตุซึ่งทำให้พวกมิจฉาชีพไม่กล้าไปแตะต้องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสำหรับพุทธศาสนิกชนก็ได้ไปกราบไหว้ทำบุญบนบานให้เกิดสิริมงคลใด ๆก็มักจะเห็นผลตามคำบนบานและอธิษฐานนั้นเป็นประจำเสมอมา