ท้าวอินทะสะเกษ ผู้ครองเมืองขุขันธ์ ได้ยินข่าวความงดงามของนาง “เจียงได” ลูกสาวเจ้าเมือง “ชี้ช้วน”หรือหมู่บ้าน “ชีทวน”ปัจจุบันในท้องที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ว่านางเจียงไดนั้นสวยสดงดงามยิ่งนัก ข่าวยิ่งนัก ข่าวล่ำลือไปหลายหัวเมือง
ท้าวอินทะสะเกษจึงยกทัพพาไพร่พลออกจากเมืองขุขันธ์ ข้ามลำน้ำมูล หวังจะไปสู่ขอนางเจียงได ลูกสาวเจ้าเมือง ชี้ช้วน โดยยกทัพข้ามลำน้ำมูลมาตรง “ท่าหลวง”ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านเทิน ตำบลบัวน้อย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจุบัน
กองทัพเมืองขุขันธ์ศรีสะเกษ พักนอนตรงชายทุ่งเทิน ส่งม้าเร็วไปสืบความที่เมือง “ชี้ช้วน”ทันที ม้าเร็วกลับมาบอกว่านางเจียงไดมีคู่หมั้นหมายเสียแล้ว หมั้นไว้กับ “ท้าวกาละหงษ์” เจ้าเมือง “พะนา”ปัจจุบันคืออำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี
ท้าวอินทะสะเกษโกรธมาก จึงยกทัพเข้าชิงนางทันที และได้นางเจียงไดมาไว้ในครองครอง แล้วถอนทัพมาตั้งที่หมู่บ้าน “เมืองน้อย”เพื่อรับศึกท้าว “กาละหงษ์”
เจ้าเมืองพะนา ท้าวกาละหงส์ ยกทัพติดตามนางเจียงไดในคืนนั้นทันที จึงเกิดศึกชิงนาง ระหว่างท้าวอินทัสะเกษ เจ้าเมืองขุขันธ์ กับท้าวกาละหงส์ เจ้าเมืองพะนา รบราฆ่าฟันกันอยู่หลายปีทีเดียว สนามรบฝ่ายศรีสะเกษ คือบ้านเมืองน้อย กองทัพเมืองพะนา ตั้งอยู่ที่บ้านลาดทราย หรือบ้านละทาย ในปัจจุบัน ท้าวอินทะสะเกษ อยู่กับนางเจียงไดมานานจนคลอดบุตรเป็นชายเจ้าเมืองขุขันธ์ ดูหน้าตาลูกแล้วไม่เหมือนตัว รูปชั่วตัวเหมือนลิง ครุ่นคิดว่าเป็นลูกของ กาละหงส์ เมืองพะนา บ้านป่าเมืองลิง จึงให้บ่าวไพร่จัดทำแพ เพื่อจำนำลูกน้อยไปไหลล่องแม่น้ำมูลหนีไปให้ไกลตา ทั้งๆ ที่นางเจียงไดไม่ยินยอม
นางเจียงไดเดินลัดเลาะริมฝั่งแม่น้ำมูล เพื่อดักรอแพลูกน้อยจะล่องผ่าน นางจึงมาปักหลักรอพบแพลูกล่องตรง “ท่านางเหงา” คือท่าสะพานข้ามมูลในปัจจุบัน คนทั้งหลายจึงเรียกท่านี้ว่า “ท่านางเหงา”หรือ “หาดนางเหงา”เพราะนางโศกเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้เกินที่จะบรรยาย นี่แหละคือที่มาอันวิปโยคโศกเศร้าเหงาใจ ผู้คนจำไว้เถิดหนา ท่านางเหงา หรือ หาดนางเหงา ในปัจจุบัน