ลักษณะหรือลักษณะพิเศษ
หวายเป็นพืชป่าชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นอยู่ใน เขตป่าเบญจพรรณมีทั้งชนิดที่มีลำต้น ยาว นำไปทำเครื่องใช้ไม้สอยจักสานผูก มัดเสาเรือนให้ยึดแน่น หวายอีกชนิดหนึ่งเป็น หวายที่นิยมใช้หน่อรับประทาน นำมาทำกับข้าว เช่น ต้มจิ้มแจ่ว น้ำพริก และแกงปรุงรสตาม ที่ต้องการโดยเฉพาะกลุ่มชาวภูไท ชาวกะเลิง ชาวญ้อ เป็นกลุ่มที่ชอบรับประทานแกงหวาย มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ จึงนิยมปลูกหวายไว้ขาย รับประทานในครัวเรือน
หวายมีมากกว่า50 พันธุ์ แต่ที่ชาวบ้านรู้ จักและนำมาใช้ปรุงอาหารมี 4 ขนิดได้แก่
1. หวายขมหรือหวายโคก เป็นหวายชนิดต้น เตี้ย มักชอบขึ้นตามป่าละเมาะหวายชนิดนี้มี อายุหลายปี พุ่มหวายสูงประมาณ 1 เมตรแต่ลำ ต้นเลื้อยยาวออกไปหวายชนิดนี้จึงต้องสับ นำมาทั้งหัวแกะกาบออกจึงจะได้หน่อ หวายอ่อนนำไปเป็นอาหาร
2. หวายบุ่นหรือหวายกระบองเป็นหวายที่มี ลำต้นใหญ่ มีข้อถี่ มีหนามมาก ถ้ามี อายุมากจะเป็นเครือให้เส้นหวายหนาใหญ่ นำ ไปทำเครื่องเรือนเช่น เก้าอี้ หกถักทอภาชนะต่าง ๆ หวายชนิดนี้นำไปแกงไม่อร่อย
3. หวายหางหนู เป็นหวายต้นเล็ก ๆ ลำต้น โตประมาณนิ้วมือ ลำต้นสูงชะลูด ขึ้นเร็วเมื่อ ปล่อยทิ้งไว้หลายปี จะให้เส้นหวายขนาดเล็ก นำเส้นหวายไปใช้จักรสานได้ นำส่วนยอด มาแกงเป็นอาหารได้ แต่มีข้อเสียคือ เนื้อ ยอดอ่อนไม่นุ่มจึงขายไม่ได้ราคามากนัก นอกจากจะบริโภคเองหรือแจกจ่ายผู้คุ้นเคย
4. หวายดง หวายชนิดนี้มีลำต้นใหญ่ กว่าหวายหางหนูแต่เล็กกว่าหวายหางหนูหรือ หวายกะบองถ้าเกิดในป่าดงดิบหวายชนิด นี้จะยาวเลื้อยไปตามต้นไม้ตั้งแต่ลำ ต้นจนถึงยอดไม้จึงให้เส้นหวายยาว 20 -30 เมตร นำเส้นหวายมาใช้จักรสานได้ ส่วนยอดหรือหน่อนำมาแกงอ่อมได้รสชาด อร่อยมากกว่าหวายชนิดอื่น
แหล่งที่พบ
หวายป่าพบได้ตาป่าละเมาะและป่าเบญจพรรณ ทั่วไป เกิดจากนกถ่ายมูลเมล็ดหวาย เมื่อ หวายตกลงพื้นดินมีอุณหภูมิพอเหมาะจะขึ้น เป็นหวายป่า ในปัจจุบันนิยมนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะ ในแปลงหรือกระบะในเรือนเพาะชำ เมื่อเมล็ดหวาย ขึ้นเป็นต้นอ่อนก็ย้ายลงในถุงพลาสติก เพื่อนำ หวายลงไปปลูกในหลุมเป็นแถว เพื่อให้ตัด ยอดอ่อนมาจำหน่ายหรือนำมาปรุงอาหารต่อไป
แหล่งที่ปลูกหวายมากที่สุดคือบริเวณไหล่เขา ภูพาน ในบริเวณอำเภอกุดบาก อำเภอวาริชภูมิ กิ่ง อำเภอภูพาน เป็นแหล่งที่มีหน่อหวายจำหน่ายมาก ที่สุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนตุลาคม-มกราคม เป็นช่วงที่หวายแตกยอดอ่อนหน่อเจริญ งอกงาม
ความสัมพันธ์กับชุมชุม
หวายเป็นอาหารที่นิยมรับประทาน แต่เนื่องจากมี ราคาแพง จึงมักเป็นอาหารพิเศษ ในการรับแขก หรืองานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม ชาวผู้ไทยนิยมรับประทานแกงหวายถือว่าหวาย เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหวายมีรส ขมเล็กน้อย แต่เมื่อดื่มน้ำหลังรับประทานจะ มีรสหวาน ชาวผู้ไทยจึงนิยมแกงหน่อหวาย เมื่อรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนเป็นสำคัญ แกงหวาย ของชาวผู้ไทยอำเภอวาริชภูมิ มีวิธีทำดัง นี้
เครื่องปรุง
หน่อหวายที่ลอกเปลือกแล้ว
ซี่โครงหมู
บวบ
เห็ดหูหนู เห็ดฟาง
ผักชีฝรั่ง-ผักชีลาว
ใบแมงลัก
ใบย่านาง
น้ำปลาร้า
ใบชะอม
เมล็ดข้าวเหนียว
วิธีปรุง
1. ต้มหวายให้เดือดเพื่อลดความขม เทน้ำทิ้ง
2. คั้นใบย่านางผสมน้ำต้มกับหน่อหวาย ใส่ซี่โครงหมูหรือเนื้อไก่หรือปลาตามต้องการ เติมน้ำปลาร้าน้ำข้าวเหนียวตำ (ข้าวเบือ) ปรุงน้ำแกงให้ได้รสชาดจนน้ำแกงเดือด
3. ใส่ผักต่าง ๆ เช่น บวบ เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว (ผักสะแงะ) ใบชะพลู (ผักอีเลิศ) ทิ้งไว้สักครู่ ก็ยกหม้อแกงลงเป็นเสร็จการปรุงแกงหวาย
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
หน่อหวายเป็นพืชที่มีราคา เพราะเป็นการนำพืชป่า มาปลูกเป็นพืชสวน เนื่องจากหน่อหวายมีจำนวนน้อย หวาย กอหนึ่งให้หน่อเพียงหน่อเดียว และต้องทิ้งไว้บ้างเพื่อ ให้กอใหญ่งอกงาม ดังนั้นหวายจึงมีราคาแพง หวาย ขมชนิดหน่อสมบูรณ์มีราคาหน่อละ5-10 บาท จึงนับว่า เป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้แก่ผู้ปลูกขายอย่างมาก
เนื่องจากหวายไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่มีแมลงรบ กวน ไม่ต้องรดน้ำมากนัก เพียงแต่ต้องหมั่น ถางหญ้า ตัดแต่งกิ่งจึงทำให้สะดวกในการ ดูแลกว่าพืชชนิดอื่น ทำรายได้มากกว่า การปลูกข้าว จึงเป็นที่นิยมปลูกหวายแทนการ ทำนาไปบางพื้นที่