สมัยที่ชาวผู้ไทยได้อพยพมาอยู่บ้านกุดสิมนารายณ์นั้น ได้มีการอัญเชิญองค์ทะหลามเหศักดิ์ที่ชาวผู้ไทยเคารพนับถือมาอยู่ด้วยเพื่อให้คุ้มครองปกปักษ์รักษาเป็นการบำรุงทางจิตใจ ให้อยู่เย็นเป็นสุขและมีการเลี้ยงเรื่อยมาโดยมีนางเทียม(ร่างทรง)และคณะหมอเหยาเป็นผู้ทำหน้าที่แทนชาวผู้ไทยทุกคน แต่ต่อมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชาวผู้ไทยอีกอย่างคือ ราวๆ ปี พ.ศ.2540 ปรากฎว่ามีวิญญาณที่เรียกตนเองว่า องค์ปู่ ได้เข้ามาเทียมนางที่เป็นชาวผู้ไทยอีกคนหนึ่ง คือ นางถวัลย์ ศรีนาม อยู่หมู่ที่ 4 บ้านกุดสิมคุ้มเก่า ตำบลกุดสิมคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ในสมัยที่นายประเสริฐ บุญเรืองซึ่งในขณะนั้นเป็นกำนันตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ ได้จัดการแข่งขันกีฬาประชาชนชาวตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ โดยแบ่งทีมนักกีฬาออกหมู่บ้านทำการแข่งขันที่สนามองค์การบริหารส่วนตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ในปัจจุบัน มีการตั้งกองเชียร์เชียร์กันอย่างสนุกสนาน การเข้าเทียมนางในครั้งนั้นบุคคลที่องค์ปู่เข้าเทียมนั้นแสดงอาการพฤติกรรมหลายๆอย่างเช่น แสดงกิริยาอาการท่าทางบอกว่าตนเองคือองค์ปู่ทะหลามเหศักดิ์หลักเมืองกุดสิมนารายณ์(อำเภอเขาวงปัจจุบัน) มีการดื่มสุราหมดหลายขวดก็ไม่แสดงอาการเมา(นางเทียมเป็นบุคคลที่ไม่เคยดื่มสุราและไม่ชอบดื่มสุรา) มีการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริ์ให้ผู้คนได้ยอมรับในตัวองค์ปู่ และให้กำนันประเสริฐ บุญเรือง ทำพิธีรับองค์ปู่อัญเชิญเข้าหอโฮง อ่อนน้อม ยอมรับและประกาศให้ชาวผู้ไทยเขาวงทราบและยอมรับนับถือในตัวองค์ปู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาชาวผู้ไทยเขาวงจะออกบ้านทำการใดๆก็ตามเพื่อความสำเร็จสมหวัง ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง เขาก็จะมากราบไหว้ บนบาน ขอจากองค์ปู่ เมื่อประสบความสำเร็จก็จะนำสิ่งของมาไหว้แก้บนบาน เซ่นไหว้ตามที่ได้บนบานไว้โดยมีนางเทียม(นางถวัลย์ ศรีนาม) เป็นหมอสื่อติดต่อกับองค์ปู่
มีเรื่องเล่าจากบริวารขององค์ปู่ว่าเมื่อองค์ปู่มาเข้าเทียมนาง บุคคลนั้นก็จะเป็นนางเทียมแทนองค์ปู่ทันที แล้วองค์ปู่ได้บอกบริวารว่าองค์ปู่นั้น เดิมทีท่านอพยพมาครั้งแรกจากเมืองบกเมืองวังประเทศลาว มาประมาณ 50 คน เมื่อเดินทางมาถึงครั้งแรกก็ได้พักที่หลุบกกม่วง(กุดติ้ว กุดแปน บ้านกุดสิมคุ้มเก่า ที่มีแหล่งนำไม่เคยแห้งแล้งตลอดปี) ด้วยความอ่อนเพลียในการเดินทางมาไกลทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุมากได้เสียชีวิต จำนวน 2 คน เหลือคนแก่อีก 1 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่คือองค์ปู่นั้นเอง ต่อมาจึงได้หาทำเลที่อยู่ใหม่โดยได้เดินทางตามสายนำขึ้นมาทางทิศเหนือ แต่สายนำสิ้นสุดลงจึงพักอยู่ที่บริเวณนั้นซึ่งเป็นป่าดงดิบ มีต้นไม้หนาทึบ(ตรงสะพานสายกุดสิมในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นหนองนำที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าที่ควรพอที่จะสร้างบ้านแปลงเมือง จึงได้เดินทางต่อไปทางทิศใต้มาพบรอยดินคะยะลึก(ดินแยก) แต่ไม่กว้าง มีป่าไม้ทึบใหญ่มากมายและมีหนองนำอยู่บริเวณนั้นด้วย(ปัจจุบันคือหนองหอที่ติดกับหอมเหศักดิ์หลักเมืองกุดสิม) ตัวท่านเองไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามบอกแต่ว่า ตัวลาย หน้าผากก้วาง คิ้วดก ร่างสูงใหญ่ แล้วก็บอกแต่ว่าท่านจุน ร.5 (รัชกาลที่ 5) นั้นมีศักดิ์เป็นน้อง ท่านจุนเรียกท่านว่าท่านพี่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบได้ต้นตระกูลพระธิเบศร์วงศา มีอายุราวๆ 300 ปี แต่ว่าองค์ปู่นั้นประมาณ 3000 ปี(บริเวณดินคะยะลึกแต่แคบนั้น ปัจจุบันหมายถึงลำนำลำพะยังซึ่งแต่เดิมไม่มีชื่อเรียก)