วัดป่าวิเวกธรรม
วัดป่าวิเวกธรรม ศูนย์กลางการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญในภาคอีสานตอนกลาง สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2471 เนื่องจากพระครูพิศาลอรัญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.3) เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดศรีจันทร์ ในขณะนั้น ได้นิมนต์พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม) มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านการปฏิบัติ ที่จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์หลายรูป จึงได้เดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาเห็นโคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรมในปัจจุบัน) เป็นป่าช้ารกชัฏ เหมาะแก่การธุดงค์กรรมฐาน จึงได้ตั้งเป็นสำนักปฏิบัติ แล้ว ก็มีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ภูมี ฐิติธัมโม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และพระอาจารย์รูปอื่นๆอีกมาก มารับการอบรมธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่สิงห์ ในเวลานั้น หลวงปู่จาม มหาปุญโญ หลวง ปู่แว่น ธนปาโล และหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ยังเป็นสามเณร และหลวงปู่สิงห์ก็ได้พาไปบวชที่วัดศรีจันทร์ หลังจากนั้น หลวงปู่สิงห์ จึงได้ส่งครูบาอาจารย์เหล่านี้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาสายการปฏิบัติในทิศทาง ต่างๆ
วัดป่าวิเวกธรรม นับว่าเป็นที่กําเนิดของพระพุทธศาสนาสายอรัญวาสี ของภาคอีสานตอนกลาง
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้เดินทางไปยังอำเภอเชียงยืนและได้ปักกลดโปรดครอบครัว“เหล่าหงษา” ที่บ้านบัวบาน ต.กู่ทอง อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ที่นั้นเอง ท่านได้สร้างเจ้าอาวาสให้วัดป่าวิเวกธรรมถึง 2 องค์ คือ หลวงปู่พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) บุตรชายคนโตของนายเอี่ยม และนางคง เหล่าหงษา และพระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก) บุตรชายคนสุดท้องของนายเอี่ยม และนางคง เหล่าหงษา ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน จวบจนปัจจุบันหลวงปู่บุญเพ็ง กัปปฺโก ยังคงสืบทอดงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านธรรมปฏิบัติ ต่อจากบรรดาบุรพาจารย์ทุกวัน ไม่เคยว่างเว้นเดิม วัดป่าวิเวกธรรมมีอาณาเขตกว้างขวางมาก แต่ต่อมา บ้านเมืองขยายตัวออกมาและใช้พื้นที่ป่าของวัดจนกระทั่งปัจจุบันเหลือที่ดิน เพียง 32 ไร่เศษ แต่ยังคงรักษาความสงบร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ไว้จนได้ชื่อว่าเป็นปอดของเมือง ขอนแก่น สิ่งก่อสร้างมีเพียงไม่กี่อย่าง ทุกหลังมีความเรียบง่ายสมประโยชน์ใช้สอย ศาลาการเปรียญตั้งชื่อว่า “ศาลาขันตยาคมานุสรณ์” เป็นอนุสรณ์ของหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมผู้ก่อตั้งวัดใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และเป็นที่ฉันภัตตาหาร โบสถ์ขนาดเล็กสำหรับพระภิกษุทำวัตรเช้าเย็น ฟังปาฏิโมกข์ทุกวัน 15 ค่ำ และประกอบพิธีอุปสมบท เมรุเผาศพเป็นเตาเผาปลอดมลพิษ มีศาลาสวดศพ 3 หลัง ข้าง ๆ ศาลาขันตยาคมานุสรณ์ เป็นศาลาที่พักของฆราวาสที่มาปฏิบัติธรรม เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนเป็นโถงโล่ง ชั้นล่างมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำภายในอาคาร 8 ห้อง และมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังโรงครัว ภายในโรงครัวมีห้องน้ำอีก 5 ห้อง กุฏิ พระที่ทรุดโทรมผุพังได้ถูกทยอยรื้อถอนและก่อสร้างใหม่ตามประโยชน์ใช้สอยที่ เปลี่ยนไป ทั้งนี้ พระภิกษุที่มาจำพรรษากว่าครึ่ง ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาเขตอีสาน แต่พระภิกษุอีกจำนวนหนึ่งที่มุ่งมั่นปฏิบัติภาวนา ก็จะพำนักในกุฏิที่เหมาะสมกับปฏิปทาของพระภิกษุแต่ละรูป สิ่ง ก่อสร้างที่มีความสำคัญต่อการดำรงวิถีในวัดป่าวิเวกธรรมคือ หอระฆัง ทุกเช้าเวลา 8.00 น. และตอนค่ำ เวลา 19.15 น. จะได้ยินเสียงย่ำระฆังบอกเวลาทำวัตรเช้าและทำวัตรค่ำ ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้นก็จะได้ยินเสียงหอนของสุนัขซึ่งมีเกือบ 100 ตัว ดังตามมา และพระภิกษุสามเณรก็ทยอยเดินไปทำวัตรที่อุโบสถ