เจดีย์วัดพระแก้ว ตั้งอยู่ที่วัดพระแก้ว หมู่ที่ 10 ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท
เจดีย์วัดพระแก้ว เป็นองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมลักษณะเป็นเจดีย์แบบละโว้ทรงสูง ผสมกับเจดีย์ทวารวดีตอนปลาย ใช้เทคนิคการสร้างแบบสอปูน เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานไพที ฐานเชียง และฐานเรือนธาตุแบบลดท้องไม้ มีพระพุทธรูปปูนปั้นแบบนูนสูงประดับทั้งสี่ด้าน มีเจดีย์ต่อจากฐานเรือนธาตุตอนบนทั้งสี่มุม ต่อจากเรือนธาตุจะเป็นฐานเจดีย์ เป็นฐานสูง แปดเหลี่ยม มีซุ้มจระนำทั้งสี่ทิศ ต่อจากบนสูงเป็นบัวลูกแก้วและบัวถลาจนถึงองค์ระฆัง ลักษณะเจดีย์คล้ายเจดีย์สมัยสุโขทัย ที่น่าจะได้รับอิทธิพลร่วมระหว่างศิลปะสุโขทัยกับศรีวิชัย แม้ในสมัยอยุธยาจะมีเจดีย์ ทรงสูง เช่น เจดีย์รายรอบพระวิหาร ก็ไม่ใช่ลักษณะเช่นนี้ บนฐานชั้นสามในซุ้มตรงกลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางถวายพระเนตรประทับยืนกระหนาบทั้งสองข้าง ด้วยพระพุทธรูปปูนปั้นปางประทานอภัย ลักษณะพระพุทธรูปน่าจะเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้นเพราะมีเค้าโครงศิลปะสุโขทัยผสมที่เห็นได้ชัดคือ พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ถัดจากแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูงขึ้นไปเป็นแท่งแปดเหลี่ยม มีซุ้มประดิษฐาน พระพุทธรูปปางถวายพระเนตรประทับยืนทั้งสี่ทิศ แต่ไม่มีพระกระหนาบข้าง เหนือนั้นขึ้นไปเป็นย่อเหลี่ยมอีกชั้นหนึ่ง บางทีอาจมีซุ้มพระประทับนั่งอยู่ตอนบนด้วยก็ได้ แต่หักพังลงมาหมดแล้ว ต่อจากองค์ระฆังเป็นปล้องไฉน ๑๒ ปล้อง รวมความสูง ๓๗ เมตรสันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘- ๑๙ มีอายุประมาณ ๖๐๐ - ๗๐๐ ปี ดูตามลักษณะก่อสร้างจะเห็นว่าคนโบราณได้แฝงคติธรรมไว้กับการก่อสร้าง คือ ฐานสี่เหลี่ยมหมายถึงพระพุทธศาสนามีอริยสัจสี่เป็นฐาน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพานซึ่งแทนด้วยยอดเจดีย์ ฐานสูงแปดเหลี่ยมหมายถึงการปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน ต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด ปล้องไฉน ๑๒ ปล้อง หมายถึงปฏิจจสมุทปบาท สิ่งที่อาศัยกันเกิดเหมือนลูกโซ่ ความสูง ๓๗ เมตร คือโพธิปักขิยธรรม ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ๓๗ ประการอันประกอบด้วย สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรคมีองค์ ๘
พระสถูปเจดีย์แต่เดิมมีเจดีย์บริวารรายล้อมอยู่รอบข้างหลายสิบหลัง แต่มาบัดนี้ไม่มีหลงเหลือให้เห็นเพราะชำรุดทรุดโทรมไปด้วยกาลเวลา แม้กระทั่งพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บริเวณซุ้มยอดเจดีย์องค์ใหญ่ทั้งสี่ทิศก็ถูกลักลอบตัดเศียรไป กรมศิลปากรได้บูรณะซ่อมแซมเสร็จ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยคงสภาพเดิมไว้
กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา
เล่มที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘