ชื่อ รำรำมะนา
ประวัติความเป็นมา
รำรำมะนา เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท
ซึ่งแตกต่างไปจากรำโทน ที่นิยมเล่นกันทั่วไปทุกภาคของประเทศไทยเมื่อประมาณ ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการใช้ดนตรีประกอบจังหวะแตกต่างกัน คือ “รำโทน” ใช้ “โทน” เป็นคนตรีหลักในการประกอบการเล่นรำโทน ส่วนชาวตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ใช้กลอง “รำมะนา” เป็นดนตรีหลักในการประกอบการเล่นรำมะนา
ประวัติเพลงรำมะนา จากคำบอกเล่าของนายทองคำ โจษจันทร์ (โรงเรียนห้วยกรดวิทยา ๒๕๓๖ : ๑) ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเพลงรำมะนา กล่าวว่าการรำรำมะนานั้น แต่เดิมมาการจากเล่นเพลงโทน ซึ่งเป็นการร้องประกอบการตีโทนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๗ ต่อมาชาวห้วยกรดคิดว่าไม่มีความสนุกเท่าที่ควรจึงเปลี่ยนเครื่องดนตรีจากโทนมาเป็นรำมะนา และคิดเนื้อร้องท่ารำประกอบการแสดงทำให้ได้ความสนุกสนานมากขึ้น เป็นการแสดงที่มีผู้แสดงทั้งชายและหญิงวงหนึ่งประมาณ ๑๒ คู่ การแสดงส่วนใหญ่ใช้แสดงในงานนักขัตฤกษ์และงานประเพณีต่าง ๆ หรือการว่าจ้างไปแสดง
จากการสอบถามผู้เล่นเพลงรำมะนาหลายคนกล่าวว่า ชาวชัยนาทเริ่มเล่นเพลงรำมะนาในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ ผู้ริเริ่มคือ นายหริ่ม คล้ายจันทร์ อดีตกำนันตำบลห้วยกรด ต่อมาก็เงียบหายไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๖ นายอุทัย อนันตสมบูรณ์ นายอำเภอสรรคบุรี ได้คิดริเริ่มการเล่นรำมะนาของตำบลห้วยกรดขึ้นอีก ชาวบ้านจึงเริ่มหันมานิยมเล่นกันอย่างจริงจัง การเล่นทำให้ชาวบ้านรู้จักกันและเล่นกันได้ทุกคน ขณะที่เล่นผู้เล่นจะยืนล้อมวงเป็นวงแล้วจุดตะเกียงตั้งไว้ตรงกลางวง ได้มีการส่งเข้าประกวดตามงานวัดภายในอำเภอและจังหวัด จนได้รางวัลที่ ๑ มาโดยตลอด
ความเด่นของรำรำมะนาของจังหวัดชัยนาทคือ ภาษาท่าซึ่งตีบทมาจากเพลงที่ร้องโต้ตอบกันในการร่ายรำ ทั้งเนื้อร้องและท่ารำใช้วิธีจดจำสืบทอดกันมา อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อร้องและท่ารำไปตามยุคกระนั้นก็ตามลีลาร่ายรำของชาวห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ในยุคปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ยังมีลีลาที่อ่อนช้อยงดงามที่นำความชื่นชอบให้แก่ผู้พบเห็นเสมอ ผู้ร่ายรำจะมีอารมณ์สีหน้า ท่าทางคล้อยตามบทเพลงได้อย่างเหมาะเจาะ แสดงท่าทีเกี้ยวพาราสีกนอย่างน่าเอ็นดู ซึ่งจะหาชมได้ยากขึ้นทุกวัน สมควรแก่การศึกษาละบันทึกไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาและมีการสืบทอดต่อไป
การเกิดเพลงร้อง/แนวคิด
“รำรำมะนา” จากการสืบค้นพบว่าได้มีการเริ่มเล่นกันมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สมัยสงครามโลกครามโลกครั้งที่ ๒ โดยครั้งแรกเริ่มจะเรียกว่ารำเดี่ยวหรือรำโทน ตามเครื่องดนตรี (โทน) ที่ใช้ตีประกอบการแสดงเป็นหลัก ต่อมาได้มีการใช้กลองรำมะนาในการตีประกอบจังหวะ จึงเปลี่ยนชื่อมาเรียก “รำรำมะนา” ซึ่งผู้ที่คิดริเริ่มเพลงร้องและทำการฝึกซ้อมการแสดงรำมะนาคนแรก คือ ครูบางที่เป็นครูโขนอยู่ที่ตำบลห้วยกรด ต่อมาจึงมีป้าแจ้ง อินทรวานิช และนายหลวน คงแขม เป็นผู้คิดแต่งเพลงร้องขึ้นมา โดยบทเพลงจะแต่งตามโอกาสที่จะแสดง เช่น พิธีแก้บน เทศกาล ประเพณีต่าง ๆ แล้วสอดแทรกเนื้อหาการร้องเกี่ยวกับการเกี้ยวพาราสี การชมธรรมชาติ ฯลฯ
บทเพลง/เนื้อหาสาระ
การร้องเพลงจะร้องพร้อม ๆ กัน ทั้งผู้ร้องและผู้รำ บทเพลงส่วนมากจะเป็นการร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง เนื้อหาสาระของบทร้องจะกล่าวถึง
การไหว้ครู บูชาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข การเกี้ยวพาราสี การชมธรรมชาติ สภาพสังคม ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต การบรรยายเหตุการณ์ในยุคสมัยนั้น ๆ
อธิบายท่ารำรำมะนา
รำรำมะนา ชายหญิงหลายคู่จะรำล้อมกันเป็นวง ผู้ชายจะอยู่วงใน ผู้หญิงจะอยู่วงนอก เดินรำไปตามทิศทางทวนเข็มนาฬิกา บางเพลงจะรำอยู่กับที่ เช่น เพลงไหว้ครู หรับท่ารำที่ใช้ในการรำมะนานั้น ได้กำหนดเป็นมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะรำตีบทจากเนื้อร้อง บางท่าเป็นท่ารำพื้นเมืองที่จดจำรำสืบทอดกันต่อ ๆ มา หรือท่ารำอะไรก็ได้ตามความสนุกสนาน แต่จะมีท่ารำที่เป็นหลักผู้เล่นรำมานาจะตีบทท่ารำได้คล้ายคลึงกัน เช่น
- ท่าไหว้ เมื่อเนื้อร้องกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระมหากษัตริย์
- ท่าชี้นิ้ว (บน) เมื่อเนื้อร้องกล่าวถึงสถานที่ (ไกล) สิ่งที่อยู่สูง เช่นดวงจันทร์
- ท่าดม หอม เมื่อเนื้อร้องกล่าวถึงการดม ,หอม กลิ่นดอกไม้
- ท่าตัวเรา ,ฉัน เมื่อเนื้อร้องกล่าวถึง ตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีท่ารำอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพลงรำมะนาที่ชาวบ้านห้วยกรดชื่นชอบเป็นที
รู้จักกันแพร่หลายและนิยมนำมาเล่นรำมะนากันเกือบทุกครั้งที่มีงานมีหลายเพลง ตัวอย่างเช่น
เพลงไหว้ครู
แหล่งที่ปรากฏการแสดงรำรำมะนา
สมัยก่อนจะพบเห็นการแสดงในงานนักขัตฤกษ์ และงานประเพณีต่าง ๆ งานวัด หรือการว่าจ้างไปแสดงในงานบุญต่าง ๆ เช่นงานบวช
ปัจจุบัน จะพบเห็นการแสดงรำรำมะนาน้อยมาก นอกจากจะเป็นการแสดงที่มีการว่าจ้างไปเล่นในขบวนแห่ต่าง ๆ หรือเป็นการแสดงของนักเรียนโดยสถานศึกษาจัดเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน
โอกาสที่เล่นหรือแสดง
การแสดงรำรำมะนาจะแสดงได้ทุกโอกาสที่แสดงความสนุกสนานร่าเริง การแสดงในงานประเพณีต่าง ๆ งานวัด งานแก้บนหลวงพ่อ หรือในบางครั้งเมื่อมีคนต่างถิ่นมาว่าจ้างให้ไปแสดง ก็จะไปแสดงตามที่ว่าจ้างเพื่อหารายได้เสริม ซึ่งในการแสดงแต่ละครั้งจะไม่ใช้เวทีในการแสดงแต่จะใช้บริเวณลานวัดเป็นสถานที่ในการแสดง โดยในบริเวณที่แสดงจะวางครกไม้ที่ใช้สำหรับตำแป้งขนมจีนไว้ตรงกลาง เพื่อให้ผู้แสดงกะระยะการรำไปรอบ ๆ บริเวณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และถ้ามีการแสดงในตอนกลางคืนจะมีการจุดตะเกียงหรือไต้วางไว้บนครกอีกทีหนึ่ง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง
เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงรำมะนาประกอบด้วย รำมะนา (รำมะนาลำตัด)
ฉิ่ง ฉาบ และกรับ
ลักษณะการแสดง
การแสดงรำมะนาจะรำเป็นวง วงหนึ่งประมาณ 6 – 12 คู่ แล้วแต่ความพร้อมของผู้เล่น
และสถานที่ ร้องรำเดินกันเป็นวง บางจังหวะชาย – หญิง จะหันหน้าเข้าหากันในลักษณะเกี้ยวพาราสี หรือต่อว่าต่อขาน
เครื่องแต่งกาย
การแสดงรำมะนาเป็นการแสดงพื้นบ้านไม่มีพิธีรีตอง การแต่งกายจึงเป็นไปตามลักษณะพื้นบ้าน
ในบางครั้งจะมีการนัดหมายกันว่าจะใส่เสื้ออะไร สีพื้นหรือเป็นดอก ซึ่งจะเป็นการนัดหมายกันในแต่ละครั้ง ในระดับจังหวัดได้มีการประยุกต์เครื่องแต่งกาย โดยอาศัยเทียบเคียงจากประวัติความเป็นมาของรำมะนาว่ามาจากรำโทนในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ประมาณ พ.ศ. 2485 ในการแสดงรำมะนาฝ่ายหญิงจะนุ่ง
ผ้าถุง หรือถุงสำเร็จแทนโจงกระเบน สวมหมวก ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขายาวแทนนุ่งกางเกงแพรหรือผ้าม่วง ดังนั้น การแต่งกายของรำมะนาจึงไม่ได้ กำหนดอะไรที่เป็นกฎเกณฑ์แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของกลุ่มผู้เล่น
ท่ารำที่ใช้ในการแสดง
ท่ารำในการแสดงรำมะนาเป็นภาษาท่าทาง ซึ่งตีบทมาจากเพลงที่ร้องเป็นภาษาท่าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลีลาท่าทางจะอ่อนช้อยงดงามที่นำความชื่นชมให้แก่ผู้ที่พบเห็นเสมอและบางครั้งอาจใช้สีหน้าเข้าช่วยเพื่อให้ทราบถึงอารมณ์นั้น ๆ