ประวัติ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (สุภาวสิทธิ์)
นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (สุภาวสิทธิ์)
เกิดเมื่อวันที่ 22กันยายน 2489 ปัจจุบันอายุ 66 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 45/1 ม.11 บ้านศรีทรายมูล ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
โทรศัพท์ 089-4303298
ประวัติการศึกษา
- พ.ศ.2500 สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4จากโรงเรียนบ้านหนองบัว
- พ.ศ.2547 ศิลปะศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ นาฏศิลป์และการละคร จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย การศึกษาด้านการแสดง
- พ.ศ.2497 บ้านศรีทรายมูล ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เรียนศิลปะการแสดงพื้นบ้าน การฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง จากบิดา
- พ.ศ.2499 วัดศรีทรายมูล ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ศิลปะการแสดงฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนศรีนวล ฟ้อนสร้อยแสดงแดง ฟ้อนสร้อยสนตัด ฟ้อนยวนรำพัด
- พ.ศ.2507 บ้านสันโค้ง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ฟ้อนลาวแพน
ประวัติทำงาน
- พ.ศ.2510-2512 แสดงโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสอนฟ้อนพื้นบ้านล้านนาตามความสนใจของผู้เรียนโดยการสนับสนุนของ นายชาญ สิโรรส นายกสมาคมยุวพุทธสถานจังหวัดเชียงใหม่
- พ.ศ.2514-2518 อาชีพทำนา
- พ.ศ.2518-2538 อาชีพค้าขาย
- พ.ศ.2518-ปัจจุบัน วิทยากรสอนฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน และอื่นๆ ให้กับกลุ่มช่างฟ้อนตามวัด และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย
- พ.ศ.2538- ปัจจุบัน วิทยากรสอนฟ้อนพื้นบ้านล้านนาให้กับสถาบันการศึกษาที่สนใจทั่วประเทศที่มาศึกษา ณ บ้านของตนและเดินทางไปถ่ายทอด และถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาทำวิทยานิพนธ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยพายัพถ่ายทอดการฟ้อนพื้นบ้านล้านนาให้กับ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย
ผลงาน
- พ.ศ.2497 นางบัวเรียว (สุภาวสิทธิ์) รัตนมณีภรณ์ ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านการฟ้อนมาจากบิดา คือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ตั้งแต่อายุประมาณ 7-8 ขวบ ได้แก่การฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง และการฟ้อนสาวไหม เป็นฟ้อนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกัปกิริยาของการทอผ้าฝ้ายของคนสมัยโบราณ จากแรงบันดาลใจดังกล่าว นายกุย สุภาวสิทธิ์ จึงนำมาประดิษฐ์เป็นท่ารำต่างๆขึ้นมาและได้ถ่ายทอดให้กับบุตรสาว นางบัวเรียว จึงได้นำท่าฟ้อนสาวไหมเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่องได้ทำการปรับปรุงท่าฟ้อนมาโดยตลอดเพื่อความเหมาะสมสวยงามตามแบบหญิงชาวล้านนา
- พ.ศ.2499 นอกจากการฟ้อนสาวไหมแล้ว นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ยังมีความสามารถในการฟ้อนต่างๆได้อย่างงดงาม เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนศรีนวล ฟ้อนยวนรำพัด ฟ้อนสร้อยแสงแดง ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น ฟ้อนเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดจาก นายโม ใจสม ซึ่งเป็นนักดนตรีและนาฏกร ชั้นครูมาจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และนายโม ใจสมยังเป็นผู้ฟื้นฟู วงปี่พาทย์พื้นเมืองให้กับคณะศรัทธาวัดศรีทรายมูลและได้ถ่ายทอดนาฏศิลป์ไทยประยุกต์ให้กับช่างฟ้อนในคณะด้วยจึงทำให้คณะดนตรีและช่างฟ้อนวัดศรีทรายมูลในยุคนั้นมีชื่อเสียงโงดังทั่วจังหวัดเชียงรายและเวลามีงานต่างๆนายโม ใจสมจะเชิญนางบัวเรียว ไปฟ้อนสาวไหมโดยจะใช้เพลงลาวสมเด็จเป็นเพลงบรรเลง ทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ชมทุกครั้ง จนกระทั้งคณะดนตรีและช่างฟ้อนวัดอื่นๆได้ยินเพลงลาวสมเด็จ และเห็นการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวบ่อยขึ้น จึงนำเพลงลาวสมเด็จไปบรรเลงจนกลายเป็นเพลงสาวไหมเชียงราย ในปัจจุบัน จากนนั้นนายโม สมใจได้รับเชิญมาให้เป็นครูถ่ายทอดการฟ้อนและดนตรีตามอำเภอต่างๆในจังหวัดเชียงราย และนางบัวเรียวก็ทำหน้าที่เป็นวิทยากรสอนนาฏศิลป์พื้นบ้าน ทั้งการฟ้อนประยุกต์ ฟ้อนสาวไหม จนเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้อนสาวไหม กลายเป็นเอกลักษณ์การฟ้อนของชาวบ้านศรีทรายมูล และจังหวัดเชียงราย
- พ.ศ.2507 นางบัวเรียว ได้พบกับนางพลอยศรี สรรพศรี นาฏกรชั้นครูของเชียงราย ผู้ซึ่งเคยเป็นนาฏกรในคุ้มของเจ้าดารารัศมี และคุ้มของเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ นางพลอยศรีจึงได้ยกครู (ต่อท่า) จากนางบัวเรียวและได้ทำการปรับปรุงท่าฟ้อนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนางบัวเรียว ก็ได้รับการถ่ายถอดการฟ้อนพื้นบ้านล้านนา อย่างเช่น การฟ้อนลาวแพน จากนางพลอยศรี และเข้าร่วมแสดงตามที่ต่างๆ กับคณะครอบครัวของนางพลอยศรี
- พ.ศ.2510 การฟ้อนสาวไหมได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางทั้งการแสดงในงานต่างๆ ของจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพ และการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๘ ลำปาง อย่างต่อเนื่อง ได้รับการยอมรับและขอบคุณจากหน่วยงานต่างๆที่นางบัวเรียว ได้นำการแสดงเข้าร่วมเช่น ปีพ.ศ. 2511 สโมสรโรตารีจังหวัดเชียงใหม่มอบใบประกาศขอบคุณการฟ้อนสาวไหมเป็นต้น ผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการส่งเสริมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นายชาญ สิโรรส (นายกสมาคมยุวพุทธสถานจังหวัดเชียงราย) ซึ่งได้พบเห็นการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว ที่จังหวัดเชียงรายจึงได้เชิญนางบัวเรียวไปเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ณ จังหวัดเชียงใหม่และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ โดยเชิญนางบัวเรียวไปพักอยู่ ณ โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 2ปี ในระหว่างปี 2512 นางบัวเรียวได้กลับมาอยู่ที่บ้านเดิมคือจังหวัดเชียงรายได้สมรสกับ นายโสภณ รัตนมณีภรณ์ และมีบุตร 3คน และได้ประกอบสัมมาอาชีพด้วยการค้าเป็นแม่ค้าขายไข่ในตลาดสดเมืองเชียงราย แต่ก็มิได้ละทิ้งการฟ้อนสาวไหมและฟ้อนพื้นบ้าน
- พ.ศ.2521 นางพลอยศรี สรรพศรี ได้รับเชิญจากวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ ให้ไปถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมแก่อาจารย์ฝ่ายนาฏศิลป์ของโรงเรียน ซึ่งเพลงที่ใช้ในการประกอบการฟ้อน ที่นางพลอยศรีได้ต่อท่ารำเพิ่มขึ้นนั้น ใช้เพลงซอปั่นฝ้าย มาประกอบ โดย เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ได้เรียกเพลงนี้ว่า เพลงสาวไหม (แต่เป็นคนละทำนองกับ “เพลงสาวไหม” ที่ชาวเชียงรายคุ้นเคยจากการได้ชมได้ฟังการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว)การฟ้อนสาวไหม ของนางบัวเรียวและนางพลอยศรีจึงได้รับการบรรจุเป็นการฟ้อนแบบหนึ่งในวิทยาลัยนาฏศิลป์ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่ ทำให้การฟ้อนสาวไหมเป็นที่นิยมของคนทั่วไป จึงทำให้การฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวแตกแขนงไปอีกหลายทาง
- ปีพ.ศ.2426 จากการที่นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับการแสดงและการเผยแพร่การฟ้อนสาวไหมอย่างต่อเนื่อง นางบัวเรียวจึงได้รับการเสนอชื่อ และได้รับโล่ผู้ผลิตผลงานดีเด่น ประเภทสื่อชาวบ้าน ผู้เผยแพร่การฟ้อนสาวไหม จากนายประจวบ สุนทรางกูล รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
- ปีพ.ศ.2526 นายโสภน ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว นางบัวเรียวจึงต้องรับภาระการเลี้ยงบุตรสาว 3คนเพียงลำพัง ด้วยอาชีพการเป็นแม่ค้า แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งการฟ้อนสาวไหมต้นแบบแต่อย่างใด หากแต่ต้องไปร่วมแสดงงานของชุมชน หมู่บ้าน และเป็นวิทยากรพิเศษ ตามแต่จะได้รับเชิญจากสถาบันการศึกษาต่างๆ
- พ.ศ.2537 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้เข้าไปมีบทบาทในการถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมให้กับสถาบันการศึกษาอีกครั้ง โดยการเป็นวิทยากรพิเศษของชมรมพื้นบ้านล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งชมรมพื้นบ้านล้านนา ได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการค้นคว้าการฟ้อนพื้นบ้านทำให้การฟ้อนของนางบัวเรียว เข้าไปมีบทบาทอย่างมากในการฟ้อนพื้นบ้านล้านนาและนางบัวเรียวได้รับใบประกาศยกย่องให้เป็น แม่ครู ของชมรมพื้นบ้านล้านนา โดยการนำของอาจารย์สนั่น ธรรมธิ นักวิชาการวัฒนธรรม ของสำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมทีมงานทำให้การฟ้อนสาวไหมถูกรื้อประวัติ ที่มา ของการฟ้อนในเชิงวิชาการเป้นครั้งแรก ปรากฏว่าการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่เกิดจากการฟ้อนเชิงล้านนา ผสมผสานจินตนาการในกระบวนการทอผ้าฝ้าย ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวล้านนาในสมัยโบราณ แฝงด้วยกระบวนการการฟ้อนเชิงที่เข้มแข็ง อ่อนช้อย ทำให้การฟ้อนสาวไหมเป็นที่รู้จักในวงการฟ้อนล้านนาจนถึงปัจจุบัน
จากการที่เป็นต้นแบบในการฟ้อนสาวไหมและถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นหลังจนมีลูกศิษย์มากมาย ตลอดจนนำออกแสดงเผยแพร่ไปทั่วแผ่นดินล้านนา นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จึงขอจดลิขสิทธิ์ประวัติความเป็นมาของการฟ้อนสาวไหม ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่วันที่ 11มิถุนายน 2542ตามคำขอเลขที่ 7184 ชื่อผลงาน “ฟ้อนสาวไหม”
- พ.ศ.2543 นางบัวเรียว ได้คิดท่ารำวงพื้นบ้านล้านนา ท่ารำเพลงแม่หญิงล้านนา เข้ากับเพลงพื้นบ้านของจังหวัดเชียงราย ซึ่งขับร้องโดย ธัญญทิพย์ นครเชียงราย ทำนองโดย แมน สปริงเกอร์ ถ่ายทอดให้กับเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน และนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นแนวเพลงอนุรักษ์พื้นบ้าน ร่วมกับวงดนตรีสากล
- พ.ศ.2544 นางบัวเรียว ได้ทำการปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมอีกครั้งโดยเพิ่มท่าฟ้อนตากฝ้ายเพื่อความสวยงามและลงตัวในกระบวนการฟ้อน
- พ.ศ.2549 นางบัวเรียว ได้เป็นที่ปรึกษาในการเป็นคณะกรรมการในข่วงวัฒนธรรมครั้งที่ 1 ในงานเชียงรายดอกไม้บาน ครั้งที่ 2ขององค์การบริหารจังหวัดเชียงราย จึงได้แนะนำให้จัดการประกวดการฟ้อนเล็บเชียงราย ที่ใกล้จะสูญหาย โดยถูกวัฒนธรรมจากจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาแทนที่ ปรากฏว่าการฟ้อนเล็บเชียงรายกลับฟื้นขึ้นมาและมีการประกวดอย่างต่อเนื่องทำให้นางบัวเรียว ต้องทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับกลุ่มสตรีตามเทศบาล อำเภอ และระดับเขตการศึกษาขั้นพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย จวบจนถึงปัจจุบันอย่างไม่ย่อท้อ
- พ.ศ.2551 นางบัวเรียว ได้ทำการปรับปรุงการฟ้อนสาวไหม แบบที่ง่ายต่อการฟ้อนของผู้สูงอายุ เนื่องจากฟ้อนสาวไหมเป็นฟ้อนที่ใช้กำลังขาและแขนในการฟ้อนอย่างมากและรำยากในการลุกและนั่งของผู้ฟ้อนแต่ปัจจุบันผู้สูงอายุก็สามารถฟ้อนได้ง่ายขึ้นโดยท่าฟ้อนไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
- พ.ศ.2544 ถึงปัจจุบัน นางบัวเรียว เห็นว่าการฟ้อนพื้นบ้านล้านนาแบบดั้งเดิมของจังหวัดเชียงราย เกือบสูญหายไปมากนอกจากการสอนให้กับเยาวชนแล้วยังเป็นผู้ระดมช่างฟ้อนระดับอาวุโสในการฟ้อนเล็บ ฟ้อนสร้อยแสงแดง ฟ้อนเทียน รวมถึงฟ้อนอื่นๆให้กลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งโดยเริ่มจากลุ่ม สตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน จังหวัดเชียงราย และต่อด้วยกลุ่มสตรีเทศบาลเขต2 จังหวัดเชียงราย ที่รวมตัวฟ้อนในงานสำคัญต่างๆของจังหวัดเชียงรายจำนวน 40ชีวิต อย่างสวยงามและพร้อมเพียง ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
- พ.ศ.2542 ถึงปัจจุบัน นางบัวเรียว ทำหน้าที่เป็นวิทยากรพอเศษและที่ปรึกษาให้กับงานด้านศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวมระยะเวลา 11ปี อย่างไม่ย่อท้อ และได้รับการรับการเชิญจากมาหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ ในการเป็นวิทยากรฟ้อนพื้นบ้าน มาอย่างต่อเนื่อง
รางวัลและเกียรติคุณที่ได้รับ
- พ.ศ.2510 รับโล่เกียรติคุณด้านการฟ้อนสาวไหม จากคณะกรรมการบัณฑิต เนื่องในงานร่วมฉลองปริญญาคณะ มนุษยศาสตร์ หมาวิทยาลัยเชียงใหม่
- พ.ศ.2511 ได้รับเกียรติบัตรจากสโมสรโรตารี่ เนื่องในงานของสโมสรดรตารี่ จ.เชียงใหม่
- พ.ศ.2526 ได้รับโล่เกียรติคุณจาก ฯพณฯ พลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรีประธานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติในฐานะผู้สร้างสรรค์สื่อชาวบ้านดีเด่น (ฟ้อนสาวไหม)
- พ.ศ.2537นางบัวเรียวได้รับการยกย่องเป็นผู้มีผลงานดีเด่นจังหวัดเชียงรายด้านการฟ้อนสาวไหม จากคณะกรรมการเลขาธิการ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งนางบัวเรียว ได้ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมและฟ้อนพื้นบ้านล้านนาอย่างต่อเนื่อง
- พ.ศ.2542 นางบัวเรียว ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางบุคคลที่สนใจในฟ้อนพื้นบ้านล้านนา
- พ.ศ.2543 ได้รับโล่เกียรติคุณ จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเป็นผู้มีจิตกุศลและสนับสนุนช่วยเหลือฝึกสอนการฟ้อนรำโครงการกลุ่มสตรีวัยทอง
- พ.ศ.2544 ได้รับประกาศนียบัตร ในการสืบทอดและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
- พ.ศ.2546 ได้รับเกียรติบัตรจาก วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ ในการถ่ายทอดการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือ (ฟ้อนสาวไหมต้นฉบับ)
- พ.ศ.2546 ได้รับเกียรติบัตร ในฐานะเป็นกรรมการ มหกรรมการประกวดดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง เฉลิมพระเกียรติ72พรรษาบรมราชินีนาถ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
- พ.ศ.2547 สภามหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายได้มอบปริญญาบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขานาฏศิลป์และการละครให้แก่นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ไว้เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ช่างฟ้อนพื้นบ้านที่มีความทุ่มเทเสียสละ ในงานวัฒนธรรมพื้นบ้านล้านนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำงานให้กับสังคมและประเทศชาติสืบไป
- พ.ศ.2550 ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานรางวัลพระสิทธิธาดาทองคำ ตามโครงการพระราชทานรางวัลพระสิทธิธาดาทองคำปี2549 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
- พ.ศ.2551 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับโล่เกียรติคุณ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม สาขาศิลปะ
- พ.ศ.2553 ได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัลพระราชทาน ผู้ทำคุณประโยชน์ด้านนันทนาการ