หอไตรหนองขุหลุสร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2459 – พ.ศ. 2461 วัตถุประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเก็บคัมภีร์ใบลานและตำราทางพุทธศาสนาของวัดศรีโพธิ์ชัย ซึ่งมีเป็นจำนวนมากและจำเป็นต้องหาที่เก็บให้ปลอดภัยจากแมลงและสัตว์ตัวเล็กที่อาจมาทำให้เกิดความเสียหายได้ หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย และหลวงราษฎร์บริหาร ( สด กมุทมาศ ) นายอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีในขณะนั้น จึงปรึกษาและเห็นพ้องกันว่าควรสร้างหอไตรกลางน้ำ ณ หนองขุหลุ ที่อยู่ในเขตอำเภอตระการพืชผลแห่งนี้ เนื่องจากเป็นทำเลที่เหมาะสม หอไตรดังกล่าวจึงได้สร้างขึ้นในหนองขุหลุ ของบ้านขุหลุ ตำบลขุหลุ อำเภอตระการพืชผล ซึ่งเป็นหนองน้ำที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านในสมัยนั้น ปัจจุบันหมู่บ้านได้พัฒนาเป็นตัวอำเภอตระการพืชผล
คำว่ “ขุหลุ” เป็นคำภาษาไทยถิ่นอีสาน คำว่า “ขุ” เพี้ยนเสียงมาจาคำว่า “ครุ” ซึ่งแปลว่ากระบุงที่เอาไว้ใส่ของมีไม้คานหาบ ส่วน “หลุ” แปลว่าทะลุ ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในอดีตมีเจ้าขุนเมืองท่านหนึ่งเดินทางผ่านมาจากถิ่นอื่น โดยนำเอาทองใส่ครุหาบมาด้วย เมื่อมาถึง ณ บริเวณที่เป็นหนองขุหลุขณะนี้ ครุที่ใส่ทองเอาไว้เกิดทะลุเป็นรู ทองก็หล่นลง แล้วทำให้ดินแถวนั้นยุบลงกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่
ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นถิ่นอีสานที่มีความงามเรียบง่าย โดยฝีมือช่างท้องถิ่น ประกอบด้วยอาคารไม้ยกพื้นสูง รองรับด้วยเสาไม้ 25 ต้น ทำจากไม้พรรณชาติ เรียงเป็นแถว ๕ แถว แถวละ ๕ ต้น ดัวอาคารเป็นเรือนไม้แบบเครื่องสับ
หลังคามี สองส่วน คือส่วนบนเป็นทรงจั่ว ส่วนชั้นล่างทำเป็นหลังคาปีกนก (พะไร) ปัจจุบันมุงกระเบื้องดินเผา ส่วนประดับหลังคาคือตัวเหงาไม้แกะสลักรูปนาค ช่อฟ้า (โหง่) รวยระกา และคันทวย แกะสลักเป็นลายก้านขด คล้ายเลข ๑ ไทยซ้อนกันและหันหัวแย้งกันสามชั้น
โดยรอบอาคารตีไม้เข้าลิ้นในแนวตั้ง ทรวดทรงอาคารแผ่กว้าง หลังคาสูงทิ้งชายคาลาดต่ำ ให้ความรู้สึกสงบนิ่งและสมดุล ภาย ในเป็นห้องทึบสำหรับเก็บคัมภีร์ใบลาน มีประตูทางเข้าทางด้านทิศใต้ทางเดียว ส่วนที่ใช้ประดับตกแต่ง ที่เป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และคันทวย ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย แสดงถึงฝีมือช่างพื้นถิ่น
เดิมจะไม่มีสะพานเชื่อมติดเมื่อก่อนพระต้องพายเรือเข้าไป
ความสำคัญของหอไตรหนองขุหลุ นอกจากจะเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นแล้ว ยังนับเป็นปูชนียสถานที่เรียกว่า “ธรรมเจดีย์” การ อนุรักษ์หอไตรหนองขุหลุ จึงเป็นยิ่งกว่าการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรม แต่เป็นการสืบทอดพระศาสนาให้ดำรงอยู่เป็นสรณะของชาวพุทธที่ยั่งยืนสืบไปอีก ประการหนึ่งด้วย ในปี 2547 ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น จากกรมศิลปากร