ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : - ลองจิจูด (แวง) : -
เลขที่ : 172571
ถ้ำตะบัน
เสนอโดย ลาดหลุมแก้ว วันที่ 10 ธันวาคม 2555
อนุมัติโดย mculture วันที่ 29 มีนาคม 2559
จังหวัด : ปทุมธานี
0 512
รายละเอียด

ถ้ำตะบัน

รายละเอียดข้อมูล

ตามประวัติศาสตร์มอญได้เข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง หลายสมัยด้วยกัน และในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่สมิงเปอ กับพวกเพื่อสมิงด้วยกัน 11 คน ได้คุมพวกมอญ 5,000 คน ทั้งชายหญิงเข้ามาเผา เมืองเมาะตะมะ แล้วจับมังนันทมิตร อาของพระจ้าอังวะฆ่าแล้วหนีเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยเข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนทำมาหากินที่บริเวณ วัดสิงห์เมืองสามโคก จังหวัดปทุมธานีในปัจจุบัน ได้มีเรื่องเล่าสืบต่อๆ กันมาว่า พวกมอญเหล่านี้ได้ทำมาหากินจนร่ำรวย และได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมาก ฐานะร่ำรวยมาก ขันน้ำพานรองที่ใช้ก็เป็นทองคำ แม้แต่ตะบันหมากของหญิงชราผู้หนึ่งชื่อเม้ยซั้กก็ทำด้วยทอง นางมีข้าทาสบริวารคอบรับใช้มากมาย หญิงชราและลูกหลานภายในบ้านมีจิตใจเป็นกุสลทำบุญให้ทานเป็นประจำนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนบ้านและข้าทาสบริวารเป็นอย่างดี อยู่มาวันหนึ่งเม้ยซั้กหญิงชราผู้นี้อยากจะออกไปเที่ยวป่า เพื่อเก็บผลหมากรากไม้ในป่า ทั้งเป็นการพักผ่อนหาความสำราญในช่วงบั้นปลายชีวิต จึงได้สั่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันจัดเสบียงอาการและเครื่องใช้ในการเดินป่า ซึ่งจะเริ่มออกเดินทางในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น รุ่งอรุณของวันใหม่ หญิงชราก็นั่งไปบนคานหมาของบ่าวไพร่ที่เตรียมไว้ มุ่งหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก เพราะในสมัยนั้นดินแดนางแถบทิศตะวันตก ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในเขตอำเภอลาดหลุมแก้ว ยังเป็นป่าดงพงชัฏหนาทึบ มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มาก เช่น เก้ง กวาง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี เสื่อ และช้าง ฯลฯ เป็นต้น เมื่อเหนื่อยก็หยุดพัก เมื่อหายเหนื่อยก็เดินทางกันต่อไป เข้าไปในป่าลึก ประมาณ 14 กิโลเมตร และได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ในป่านั้น กลางคืนก็อยู่ในค่าย เวลากลางวันก็ออกไปเก็บของป่า พวกบริวารก็เที่ยวล่าสัตว์ เพื่อเป็นการพักผ่อนและผจญภัยไปด้วย หญิงชราผู้นี้เป็นคนติดหมาก แต่ฟันของนางไม่สามารถเคี้ยวหมากได้ จะใช้ฟันปลอมก็ไม่มีใช้ ฉะนั้นจึงต้องอาศัยตะบัน คำว่า “ตะบัน” เป็นเครื่องมือตำหมากของคนแก่ มีรูปคล้ายกระบอก โดยมากทำด้วยทองเหลือง แต่ของหญิงชราผู้นี้ ทำด้วยทองคำ คนติดหมากนั้น เมื่ออิ่มข้าวแล้วก็ต้องกินหมากทันที เพื่อแก้เปรี้ยวปาก บางคนอดหมากถึงเป็นลมก็มี พอหญิงชราอิ่มข้าวแล้วก็หยิบล่วมที่วางไว้มาเปิดจะกินหมากปรากฏว่า ตะบันทองในล่วมหมากนั้นหายไป จึงให้บ่าวไพร่ช่วยกันเดินค้นหาแต่ไม่พบ อยากหมาก็อยากเสียดายตะบันก็เสียดาย เพราะตะบันทองอันนี้ เป็นตะบันเก่าแก่ประจำตระกูล ซึ่งเป็นมรดกตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เมื่อหญิงชรากลับจากเที่ยวป่าก็ประกาศว่า ถ้าใครเจอะตะบันทองแล้วนำไปคืนจะสร้างบ้านให้หลังหนึ่ง จะให้เงินทางอย่างละ 10 ชั่ง และพร้อมที่จะยกลูกสาวคนสวยให้เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งด้วยหากมีความต้องการ ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วเพราะมีคนพะกันต่อๆ ไป ข่าวนี้แพร่ไปถึงหมู่บ้านถ้ำข้าวเม่า ในหมู่บ้านมีชายสองคนพี่น้อง ถึงแม้ว่าชายคนพี่จะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่เขาก็เป็นคนตระหนี่เหนี่ยวแน่น มีความโลภ เป็นสันดาน ส่วนน้องชายเป็นคนยากจนแสนเข็ญผิดกับพี่ชายมาก แต่นิสัยเรียบร้อยอ่อนโยน มีความเมตตากรุณา หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อแต่งงานแล้วเขาได้ไปปลูกกระต๊อบอยู่ที่หมู่บ้านถ้ำปลากราย ในท้องที่หมู่บ้านถ้ำปลากรายนี้มีปลาดุกชุกชุมมาก โดยเฉพาะปลากรายแล้ว ชุกชุมเป็นพิเศษ ชายคนน้องก็ยึดอาชีพหาปลาขายเพื่อเลี้ยงชีวิตตลอดมาก ในเวลานั้น ภรรยาของน้องชายผู้ยากจนกำลังป่วย เมื่อเขาได้ข่าวว่าตะบันของหญิงชราหาย ถ้าใครเก็บได้จะให้รางวัล เขาจึงดีใจจะลองไปหาดูเผื่อจะมีโชคบ้าง เขาได้ตกลงกับภรรยาว่ารุ่งเช้าจะออกเดินทางให้ภรรยาอยู่บ้าน ครั้งนุ่งเช้าเขาได้รีบออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ บุกป่าฝ่าดง เรื่อยไปเป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วค้นหา ในที่สุดก็พบตะบันทองอยู่ที่โคนต้นตะเคียนใหญ่ ใบดก เขาดีใจจนน้ำตาไหล ในขณะนั้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว คืนนั้นเขาต้องอาศัยยอดไม้เป็นที่พำนักนอน เขานั่งจับเจ่าอยู่บนคาคบไม้ตลอดทั้งคืน ไม่ได้หลับนอนเลย เสียงเสือสางสัตว์ป่าร้อง น่ากลัวมากเขาหวาดผวาตอลดทั้งคืน ถ้าเสือมาเจอเข้าเขาคงตายแน่ เขาสวดมนต์อ้อนวอนให้เทพารักษ์ช่วยคุ้มครองแล้วก้มลงกราบคาคบไม้นั้น กราบแล้วกราบอีกจนรุ่งสาง

เช้าตรู่เขาอาศัยผลไม้ป่ารองท้องแล้วรีบเดินทางไปทางทิศตะวันออก เพื่อสืบหาหญิงชราเจ้าของตะบันจนบรรลุถึงวัดสิงห์ ซึ่งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยาในเขตบ้านสามโคก และได้พบหญิงชราซึ่งอยู่ไม่ไกลบริเวณวัดสิงห์มากนัก เขาได้มอบตะบันทองให้กับหญิงชรา หญิงชราดีใจมาก ได้สั่งบ่าวไพร่รีบยกสำรับกับข้าวออกมาเลี้ยงชายผู้ยากจนจนอิ่มแล้วเริ่มไต่ถามชื่อเสียงและบ้านช่อง ชายยากจนได้เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น หญิงชราจึงรู้ว่าเป็นชายที่ยากจนแต่มีน้ำใจซื่อสัตย์ประกอบไปด้วยคุณธรรมสูง จึงชวนให้อยู่ด้วย ชายผู้นั้นตอบว่ามีภรรยากำลังป่วยหนักอยู่ที่บ้านถ้ำปลากราย ต้องรีบกลับไปหาภรรยา หญิงชราจึงจัดเสบียงอาหารและบ่าวไพร่ให้ไปรับภรรยาของชายผู้ยากจน แล้วพาภรรยามาหาหญิงชราเม้ยซั้ก หญิงชราได้ปลูกบ้านหลังงานให้หนึ่งหลัง ทั้งมอบเงินทองข้าวของให้อีกมากมาย ชายผู้ยากจนกับภรรยาได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีหญิงชราผู้ใจบุญคอยอุปถัมภ์ โบราญท่านจึงกล่าวว่า “คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” กระทำความดีไว้เถิด สักวันหนึ่งผลแห่งความดีคงตอบสนอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ดังชายผู้ยากจนผู้นี้ ปัจจุบัน “ถ้ำตะบัน” อยู่ใกล้กับวัดบัวสุวรรณประดิษฐ์ไปทางทิศเหนือ อยู่ในเขตอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ห่างจากตัวที่ว่าการอำเภอลาดหลุมแก้ว ไปทางทิศเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร มีเรือหางยาวไปถึงและถนนรถยนต์ ก็เข้าถึง ที่ชาวบ้านเรียกชื่อท้องถิ่น นี้ว่า “ถ้ำตะบัน” สืบมาจนทุกวันนี้ ก็ด้วยเหตุที่ตะบันทองของเม้ยซั้กหญิงชราผู้นี้ตกหายนั่นเอง

คำสำคัญ
ถ้ำตะบัน
หมวดหมู่
อื่นๆ
สถานที่ตั้ง
ถ้ำตะบัน
ตำบล ระแหง อำเภอ ลาดหลุมแก้ว จังหวัด ปทุมธานี
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
หนังสือปทุมธษนีท้องถิ่นของเรา
บุคคลอ้างอิง นางสาวประคอง สุวิริโย
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี
ตำบล บางปรอก อำเภอ เมืองปทุมธานี จังหวัด ปทุมธานี รหัสไปรษณีย์ 12000
โทรศัพท์ 02-5934270 โทรสาร 02-5934406
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่