วัดพังสิงห์
พ่อท่านหวัง อารีชลเป็นผู้สร้างวัดพังสิงห์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๑ ดั้งลูกนิมิตให้มีพัทธสีมาในปี ๒๕๐๓ (เขตสังฆกรรมที่พระสงฆ์ได้กำหนดไว้เป็นหลักฐานตามวิธีการในพระพุทธานุญาตเรื่องสีมา) มีท่านเจ้าอาวาสปกครองดูแลวัดมาแล้วหลายรูปคื่อพ่อท่านหวัง พระบุตร พระสาป พระคล้ำ พระใบฏีกา พระน่วม พระกล่ำ พระสมุเนียมและปัจจุบันคือพระครูประสิทธิ์ธรรมวิมล
วัดพังสิงห์เป็นชื่อที่ตั้งบ้านเรือนของราษฎรหมู่ที่ ๒ บริเวณหน้าวัดพังสิงห์มีสภาพเป็นที่ลุ่มมีแอ่งน้ำ เป็นทางน้ำไหลและมีน้ำขังตลอดปี ทางน้ำเป็นแนวยาวประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร ขนานไปกับแนวถนนสายนคร-หัวไทร แอ่งน้ำนี้เรียกกันว่า วัง หรือ พัง แปลว่า ที่อยู่ เคยมีผู้ขุดพบของเก่าที่มีค่ามากมาย เล่ากันว่าลึกลงไปในสระน้ำ มีสิงห์อาศัยอยู่ ในท้องของสิงห์มีแก้ว แหวน เงินทองของมีค่ามากมาย ครั้นถึงคืนวันเพ็ญ สิงห์จะออกจากถ้ำ มายืนอยู่ที่ขอบสระเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือคนดีที่มีความลำบาก ยากจน หรือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยยินยอมให้เอาแก้วแหวนเงินทองและทรัพย์สมบัติในท้องสิงห์ไปใช้เพื่อการดำรงชีพในทางสุจริต แต่มีข้อแม้ว่าระหว่างที่เก็บแก้วแหวนเงินทองจากท้องสิงห์นั้น จะต้องจุดเทียนชัยให้สว่างขึ้น และคอยสังเกตไม่ให้เทียนชัยมอดไหม้ละลายไปถึงครึ่งเล่ม เพราะถึงเวลาที่สิงห์จะกลับเข้าถ้ำ ใต้น้ำและจะไม่ได้ของมีค่าเหล่านั้น ชายคนหนึ่งมีนิสัยละโมบโลภมาก ได้มาขอเงินทองในท้องสิงห์และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเพราะความโลภ เขาได้เก็บเงินทองจากท้องสิงห์เพลินจนลืมสังเกต ว่า เทียนชัยละลายแท่งและมอดไหม้จวนจะหมดแล้ว ครั้นได้เวลา สิงห์ก็กระโจนลงไปในสระน้ำและได้กระชากร่างของชายผู้นั้นจมหายลงไปในน้ำด้วย ตั้งแต่นั้นมาสิงห์ก็ไม่โผล่ขึ้นมาให้ใครได้พบเห็นอีกเลย
ต่อมาทางน้ำไหลตื้นเขิน มีต้นสาคูขึ้นปกคลุมหนาแน่น ทางวัดเคยชักชวนชาวบ้านช่วยกันตกแต่งบริเวณหน้าวัดให้เป็นสระน้ำ ปลูกบัวหลวง ตกต่างให้สวยงามเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและเพื่อรักษาสภาพเดิมไว้ ให้คนได้ระลึกถึง พังสิงห์ ซึ่งหมายถึงที่อยู่ของสิงห์
ส่วนในปัจจุบันทางวัดได้ปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาวัดเสียใหม่ได้มีการถมดินปรับพื้นที่สระน้ำ ให้เป็นพื้นที่ราบจนไม่เหลือร่องรอยเดิมไว้ ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้