(๒๙๑) ๏ ดูเดียวเปลี่ยวอกอ้าง ว้างเอย
คิดใคร่ได้คนเคย คู่ชี้
คลอเคล้าเฟ่าชื่นเชย ชมนก หกแฮ
ถามไถ่ได้กระจู้กระจี้ กระแจะแต้มแก้มหอมฯ
(ราชสีห์เทียมรถ)
(๒๙๒) ๏ ยนโศกยามเศร้ายิ่ง ทรวงเยน
คิดสุดขัดแสนเขน โศกไข้
หวนหนาวหากนึกเหน หน้าแห่ง น้องแฮ
ดวงจิตเด็จจากได้ จึ่งดิ้นจำโดยฯ
(๒๙๓) ๏ เสลาสลอดสลับสล้าง สลัดได
สอึกสอะสอมสไอ สอาดสอ้าน
มแฝ่มฟาบมเฟืองมไฟ มแฟบมฝ่อ พ่อเอย
ตขบตขาบตเคียนตคร้าน ตคร้อตไคร้ตเคราตครองฯ
(๒๙๔) ๏ ถึงธารบ้านเกรี่ยงร้าง กลางดง
ไร่ฟ่ายหมายมั่นคง คิดค้าง
รอนรอนอ่อนอัศดง แดดพยับ ลับเอย
ภักผ่อนนอนเรือนห้าง ก่อให้ไฟโพลงฯ
(๒๙๕) ๏ เหล่าลูกถูกส้มทับ พลับจีน
หักฮ่างต่างหัดปีน คล่องแขล้ว
เหนื่อยนอนอ่อนมือตีน ต่างรงับ หลับเอย
ดึกดื่นฟื้นฟังแหว้ว วิเวกวิ้วหวีวโหวยฯ
สุนทรภู่แต่งนิราศสุพรรณขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๗๔ ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ และเดินทางไปเมืองสุพรรณโดยทางเรือ วัตถุประสงค์ในการเดินทางคือเพื่อหาแร่ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาแปรธาตุชนิดอื่นได้ ซึ่งเรียกกันว่า "เล่นแร่แปรธาตุ"
นิราศสุพรรณนี้เป็นเพียงร้อยกรองเรื่องเดียวของท่านที่แต่งเป็นโคลง ทำนองจะลบคำสบประมาทว่าท่านแต่งได้แต่เพียงกลอน ในนิราศเรื่องนี้ เราจะพบท่านสุนทรภู่แต่งโคลงกลบทไว้หลายต่อหลายรูปแบบ และโคลงที่มีสัมผัสในเหมือนอย่างกลอนที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า ท่านสุนทรภู่ใช้คำเอกโทษ โทโทษ เปลืองที่สุด ด้วยหมายจะคงความหมายดังที่ต้องการ ส่วนการรักษารูปโคลงเป็นเพียงเรื่องรอง ทำให้ได้รสชาติในการอ่านโคลงไปอีกแบบหนึ่ง เพราะต้องเดาด้วยว่าท่านต้องการจะเขียนคำว่าอะไร