ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 16° 25' 8.8849"
16.4191347
ลองจิจูด (แวง) : E 104° 20' 23.4398"
104.3398444
เลขที่ : 193150
ข้อมูลองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม ชุมชนคุณธรรมบ้านภู มุกดาหาร
เสนอโดย มุกดาหาร วันที่ 3 กันยายน 2563
อนุมัติโดย มุกดาหาร วันที่ 3 กันยายน 2563
จังหวัด : มุกดาหาร
0 357
รายละเอียด

ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้านภู

ประวัติความเป็นมาของชุมชน

ชุมชนบ้านภูเป็นชาติพันธุ์พื้นเมือง คือ ผู้ไทย อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เข้ามาพร้อมกับชาวเมืองหนองสูง โดยพากันเข้าจับจองพื้นที่ทำกินในเขตของดงบังอี่ ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่บน
ริมฝั่งขวาของห้วยบังอี่ เรียกชื่อหมู่บ้านว่า “ไทบ้านบังอี่” ต่อมามีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทำให้พื้นที่ทำมาหากินคับแคบ ประกอบกับที่ตั้งหมู่บ้านถูกน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมทุกปีและหลังน้ำท่วมมักจะเกิด
โรคระบาดตามมา เจ้าสุโพสมบัติจึงได้พาพรรคพวกจำนวนประมาณ ๒๐ ครัวเรือน อพยพข้ามเขาภูจ้อก้อ เข้าจับจองพื้นที่ทำกินในถิ่นหุบเขาแห่งนี้ และพากันตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมฝั่งของห้วยกระเบียน
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ เรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านหลุบภู” โดยได้ยกย่องเจ้าสุโพสมบัติให้เป็นผู้นำคนแรก

เนื่องจากพื้นที่ตั้งบ้านหลุบภูเป็นที่ลุ่ม คืออยู่ตามริมห้วยกระเบียนทั้งฝั่งขวาและฝั่งซ้าย ในฤดูฝนจึงมักถูกน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ่อย ๆ เมื่อถูกน้ำท่วมก็มักเกิดโรคระบาดตามมาเสมอ ในพ.ศ. ๒๔๔๕ จึงพากันย้ายบ้านเรือนขึ้นไปตั้งที่ภูน้อยซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของหมู่บ้านในปัจจุบัน เมื่อเจ้าสุโพสมบัติถึงแก่กรรม ชาวบ้านหลุบภูได้เลือกเจ้าวรสาร (แสง) ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าสุโพสมบัติขึ้นเป็นผู้นำคนต่อมา และเมื่อทางราชการ ได้จัดระเบียบการปกครองประเทศ โดยมีการสำรวจพื้นที่ของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดต่าง ๆ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ เจ้าวรสารจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านคนแรก ของบ้านภู (ตัดคำ หลุบ ออก) จากอดีตถึงปัจจุบันชุมชนบ้านภูมีผู้นำหมู่บ้านทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๕ คน

เอกลักษณ์ อัตลักษณ์

ชุมชนบ้านภูเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ อันโดดเด่นและมีความแตกต่างจากชุมชนอื่นในเรื่อง การแต่งกาย (ผู้หญิงนุ่งซิ่นทิว/ผู้ชายนุ่งโสร่ง) , ภาษาผู้ไทย, การกินอาหารพื้นบ้าน, มีศิลปะการแสดง ที่คงอนุรักษ์ไว้เช่น ลำผู้ไทย/ฟ้อนกลองตุ้ม/ลงข่วงเข็นฝ้าย, มีประเพณี พิธีกรรมแบบดั้งเดิม เช่น การแต่งงาน/เลี้ยงผีหมอ มีการรักษาสุขภาพแบบเดิม (รักษาโดยหมอจอดกระดูก/วิธีการย่างขี้หมา), มีการทอผ้า ที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดมุกดาหาร เรียกว่า ผ้าลายแก้วมุกดา มีการทำการเกษตรแบบแบบชุมชนเกษตรอินทรีย์ (ข้าวไรซ์เบอรี่) นอกจากนี้ ชาวบ้านภูยังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนอีกด้วย

ชาติพันธุ์

กลุ่มชาติพันธุ์ของชุมชนบ้านภูเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในสมัยบรรพบุรุษชาวบ้านภูอพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ เข้าจับจองพื้นที่ทำกินที่ดงบังอี่ โดยพากันปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ตามริมน้ำบนฝั่งขวาของห้วยบังอี่ เรียกตนเองว่าไทบ้านบังอี่เนื่องจากตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ลุ่มจึงถูกน้ำป่าไหลบ่ามาท่วมบ่อย ประกอบกับมีเสือเข้าหมู่บ้านขโมยกินม้า ชาวบ้านจึงพากันหวาดกลัวเพราะมีความเชื่อว่าเสือกินม้าต่อไปมันจะกินคน ในปี พ.ศ.๒๔๒๔ เจ้าสุโพสมบัติพร้อมพวก จำนวน ๒๐ ครัวเรือน จึงพากันอพยพข้ามเขาเข้าจับจองพื้นที่ทำกินบนที่ราบหุบเขาของภูจะก้อ ภูผาขาว ภูผาแดง โดยพากันตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมฝั่งของห้วยกระเบียน เรียกชื่อว่า บ้านหลุบภู ในแต่ละปีมีน้ำไหลบ่าท่วมที่อยู่อาศัยเสมอ ในราวปีพ.ศ.๒๔๔๕ จึงพากันเคลื่อนย้ายบ้านเรือนขึ้นตั้งอยู่บนบริเวณภูน้อย ร่วมกันสร้างวัดโพธิ์ศรีแก้วกลางเขาไกรลาศ(วัดศรีนันทาราม ในปัจจุบัน) สำหรับเป็นที่ปฏิบัติธรรมและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านภู ต่อมาทางราชการทำการสำรวจเขตแดน หมู่บ้าน เมือง จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านภู จากอดีตถึงปัจจุบันมีผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำ และผู้ใหญ่บ้าน รวม ๑๓ คน

อาหารอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ผู้ไทยบ้านภู ได้แก่

  1. แกงกะบั้งเทิงภู(บนภูเขา)

คนผู้ไทยบ้านภู มีอาชีพหลัก คือการทำนา อาชีพรองทำสวน ผู้ชายเลี้ยงวัว ผู้หญิงทอผ้า ใช้วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย กินง่าย อยู่ง่าย (แบบพอเพียง) มีฐานะมั่นคง หลังจากหมดฤดูปักดำเสร็จ ผู้ชายก็จะไปเลี้ยงสัตว์บนภูเขา เช่น วัว ควาย การไปเลี้ยงสัตว์นั้น จะไปครั้งละนาน ๆ จึงจะกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง บางที่ก็ ๑๐ -๑๕ วัน มีการเตรียมข้าวสารอาหารแห้งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเตรียมไว้เป็นอาหาร ส่วนผู้หญิงทอผ้าอยู่บ้าน การไปเลี้ยงวัว แน่นอนจะต้องลำบากมาก ๆ จะต้องเตรียมสัมภาระ ข้าวสาร พริก เกลือแจ่ว ปลาร้า เตรียมใส่กะบอกไม้ไผ่ แบกขึ้นไปบนยอดเขาสูงชัน ไปนอนพักค้างแรมเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย อาหารก็ต้องเตรียมไป แต่ก็ทานไม่นานนักก็หมดเสียแล้ว

เนื่องจากในยุคนั้น คนสมัยนั้นมีความคิดที่ดีมากฉลาดคิด ฉลาดทำ จะต้องหาที่พักใกล้กับบ่อน้ำ (ผู้ไทย เรียกว่า น้ำบ่อธรรมชาติ) ไปอยู่นานเข้า ก็อยากจะทำอาหารทานสุกใหม่ ๆร้อน ๆ คิดหาวิธีที่จะได้มาซึ่งอาหารสุกใหม่ ๆร้อน ๆ จึงมีการตัดไม้ไผ่โก๊ะมาทำเป็นหม้อแกง ก่อกองไฟขึ้น อาหารป่า สัตว์ป่า เยอะมาก เช่น นก หนู กระต่าย กระแต หมูป่า ฯลฯ แกงนกใส่หวาย เรียกว่า แกงกะบั้ง(อาหารที่หาทานได้ยาก) แกงไก่ป่า เวลาจะกินก็ต้องเทออกใส่ถ้วยไม้ไผ่ แบบเป็นร่องลึกก็มี ช้อนก็ใช้ช้อนไม้ไผ่ เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาแกงกะบั้งก็สืบทอดกันมา จากหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง จนถึงปัจจุบัน

วัสดุที่ใช้ในการแกงกะบั้งประกอบด้วย

กระบอกไม้ไผ่, ไก่, เห็ดลม, หวาย, สาน, ผักหวาน, พริก, เกลือ, ปลาร้า, ข้าวเบือยานาง,ข่า, ต้นหอม

อุปกรณ์ในการทำแกงกะบั้ง ประกอบด้วย

- กระบอกไม่ไผ่

- ถ้วยทำจากไม้ไผ่

- ช้อนทำจากไม้ไผ่

- ฟืนสำหรับก่อกองไฟ

- มีด

วิธีทำ

- นำไม้ไผ่โก๊ะมาตัดเป็นท่อนๆ ละ ๒ ปล้อง ๑ กระบอก

- ปาดท่อนบนสุดเป็นปากฉลาม ท่อนล่างเป็นหม้อแกง

- ก่อกองไฟเป็นธรรมชาติ

- นำกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำพอประมาณ นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ

- เตรียมเครื่องปรุง ดังนี้

เนื้อไก่ครึ่งตัวประมาณ ๕ ขีด

หวาย ๕ ยอด

สาน ๑๕ ยอด

ข่า ๕ ยอดประมาณ๑กำมือ

ผักหวาน,เห็ดลม ๒ กำมือ หรือ (ใช้ผักอื่น ๆ ตามฤดูกาล)

น้ำย่านางผสมกันกับข้าวเบือ ๑ ถ้วย

ต้นหอม ๕ ต้น

ผักแมงลัก (ภาษาผู้ไทย ผักอี่ตู่) ๕ ยอด

พริกป่น หรือแจ่ว ๑ ช้อนโต๊ะ

ปลาร้าพอประมาณ

เกลือใส่ผสมกับพริกป่นโขกเข้ากัน

- น้ำในกะบั้งเดือดพอประมาณ ใส่พริกป่น, ใส่ไก่เดือดครั้งที่ ๒ ใส่หวาย สาน ข่า ที่เตรียมไว้

- น้ำเดือดครั้งที่ ๔ ใส่เห็ดลม, ใส่ปลาร้า ใส่น้ำย่านางผสมกับข้าวเบือ

- ใส่ต้นหอม ผักหวาน ผักแมงลัก คนให้เข้ากัน มีกลิ่นหอมชิมรส

- ยกออก เทใส่ถ้วยไม้ไผ่โก๊ะ ใช้ช้อนไม้ไผ่โก๊ะ

๒) แกงอ่อมหวายใส่ไก่นาข้าวเบอน้ำยานาง เป็นอาหารขึ้นขันโตกเมนูหลัก

วิธืทำ

  1. นำหวายปอกเปลือกตัดเป็นท่อนๆ แล้วแช่น้ำเกลือเล็กน้อย
  2. ตะไคร้หั่นบางๆ,หอมแดงปอกเปลือกหั่นๆ,พริกแห้งล้างให้สะอาด นำมาโคลกหรือตำให้ละเอียด ใส่เกลือนิดหน่อยจะได้ตำง่ายๆ
  3. นำเครื่องที่ตำลงไปคั่วในหม้อใส่ไก่นาลงไปคั่วกับเครื่องแกง ใส่น้ำปลาร้าเติมลงไป กับใส่น้ำพอคลุกคลิก
  4. ใส่น้ำข้าวเบอยานาง ปรุงรส

๓) ปลานิลทอด (ปลาเลี้ยงจากกระชังแม่น้ำโขง)

วิธีทำ

  1. ล้างปลานิล และ ขอดเกล็ดปลานิล เอาเครื่องในออกให้หมด จากนั้นล้างให้สะอาด ไม่ให้เหลืองเมือก จากนั้นนำ ปลานิลไปหมัก
  2. เตรียมเครื่องหมัก โดย ผสม กระเทียม พริกไทย เกลือ น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส ซอสน้ำมันหอย หมักปลานิล ไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ
  3. ตั้งกระทะน้ำมันให้น้ำมันท่วมตัวปลา ให้น้ำมันร้อน ไฟอ่อน จากนั้น นำปลานิลลงไปทอด พร้อมกับ กระเทียม ที่หมักลงไปทอดด้วย
  4. สังเกตุ กระเทียมสุกกรอบ ให้ตัก กระเทียมเจียว ขึ้นมาพักเอาไว้ก่อน
  5. ทอด จน ปลานิล เหลืองกรอบ ก็นำขึ้นมาพัก และจัดใส่จาน

    ๔) แจ่วซ้อมผู้ไทย กินกับลวกผักปลอดสารตามฤดูกาล
    ๖) อาหารหวาน ได้แก่ กล้วยบวชชี ข้าวต้มมัด ได้แก่ผลไม้ตามฤดูกาล ได้แก่ กล้วยน้ำหว้า มะม่วง

    ๗)การแต่งกาย
    การแต่งกายเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน คือ ผู้หญิงนุ่งซิ่นทิว ใส่เสื้อเย็บมือย้อมคราม แถบชายขอบแดง ห่มผ้าสไบพาดไหล่ซ้าย ผู้ชายนุ่งโสร่งไหม/ฝ้ายผสม สวมเสื้อเย็บมือย้อมครามหรือใช้สีกรมท่าหรือดำ ปักษ์ลวดลายต่าง ๆ ด้วยมือแม่บ้านสวยงาม ใช้ผ้าขาวม้าหรือผ้าสไบมัดเอว

    ๘) ศิลปการแสดง

    รำบายศรีสู่ขวัญ

    การแสดงชุดรำบายศรีสู่ขวัญ เป็นการแสดงของภาคอีสาน ซึ่งใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญหรือเชิญขวัญในการต้อนรับแขกเมืองหรือแขกสำคัญๆ ซึ่งเป็นแขกที่มีเกียรติหรือแขกผู้ใหญ่ที่มาจากต่างถิ่น ชาวอีสานจะมีการจัดต้อนรับโดยจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยนำใบตองมาเย็บเป็นบายศรีอย่างสวยงามประดับด้วยดอกไม้และเครื่องหอม มีด้ายสายสิญจน์สำหรับผูกข้อมือ ซึ่งจะให้ผู้เฒ่าหรือผู้ทรงคุณวุฒิ วัยวุฒิ เพื่อความเป็นสิริมงคลโดยมีพานบายศรีหรือที่เรียกว่า “ พาขวัญ’’ โดยจะมีพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีเรียกขวัญ ตามท่วงทำนองของชาวบ้านในคำเรียกขวัญนั้นจะมีทั้งคาถาที่เป็นภาษาบาลี และคำเรียกขวัญภาษาถิ่น หรือที่เรียกว่า “สูตรขวัญ”

    การแสดงใช้ผู้หญิงแสดงล้วนโอกาสที่ใช้แสดงใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญ ในการต้อนรับครั้งสำคัญๆ

    ที่อยู่อาศัย อาคาร สถานที่

    สถานที่สำคัญของชุมชนท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านภู ได้แก่

    (๑) กุฏิ (เก่า) วัดศรีนันทาราม

    การสร้างกุฏิวัดศรีนันทาราม มีอัญญาคูธรรม เจ้าอาวาสวัดศรีนันทาราม ซึ่งเป็นพระ ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือริเริ่มสร้าง หลังจากสร้างสิมเสร็จและมีการเฉลิมฉลองตามประเพณีนิยมแล้ว ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ท่านได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์พาชาวบ้านก่อสร้างกุฏิเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณร โดยมีนายลือ แก้วศรีนวมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส การออกแบบแปลนกุฏิมอบหมายให้อัญญาคูเทียม (ตาจานเทียม) พระลูกวัดเป็นหัวหน้านำทีมไปดูตัวอย่างกุฏิใหญ่จากทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน)

    การสร้างกุฏิวัดศรีนันทารามเกิดจากความร่วมมือร่วมใจ ร่วมแรงกันของชาวบ้านทุกกลุ่ม ทุกวัย ด้วยมีความเชื่อว่า“ถ้าใครมีโอกาสได้ขุดบ่อน้ำ สร้างศาลา จะมีบุญ มีกุศล เป็นมหาอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ส่งผลให้รุ่งโรจน์ เป็นสิริมงคลต่อชีวิต”โดยมีหมอดูที่มีความสามารถลงญาณได้ ชื่อ ชัยมาตย์ ชาวบ้านหนองโอ เป็นผู้นำในการทำบุญทำทาน ตระเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีกรรมบูชาผีตามความเชื่อ และได้เป็นผู้ที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการก่อสร้างสิมและกุฏิใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้นจนแล้วเสร็จ

    ในสมัยนั้น บ้านภู มีครัวเรือนประมาณ ๑๐๐ หลัง งานสร้างกุฏิหลังใหญ่ตามแบบแปลนต้องใช้ไม้และวัสดุเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการตกตัวไม้ให้แต่ละครัวเรือนและชายฉกรรจ์ ช่วยกันหา เสาสี่เหลี่ยมไม้เนื้อแข็งประเภทมะค่าแต้หน้า ๘ นิ้ว ความยาว ๖ เมตร ซึ่งชาวบ้านได้พากันไปชักลากท่อนซุงจากที่ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ๔-๕ กิโลเมตร เช่น จากป่าบ้านคำพี้ เป็นไม้ตะเคียนทองท่อนใหญ่วัดรอบลำต้นประมาณ ๓๐๐ เซนติเมตร ใช้แรงคานดีดล้อเข็น ใช้กำลังคนประมาณ ๒๐-๓๐ คน ในการดึงลากมายังวัดศรีนันทาราม ตอนกลางคืนจุดตะเกียงเจ้าพายุ ๒-๓ ดวง ส่องสว่างให้คนมาช่วยกันเลื่อยไม้ ใช้เวลาประมาณ ๒ ปีก็สามารถสร้างกุฏิจนแล้วเสร็จ

    กุฏิเก่าวัดศรีนันทารามบ้านภู เป็นกุฏิไม้ยกพื้นสูง ๒.๕ เมตร กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๒ เมตร พื้นที่ใช้สอยด้านบนแยกเป็นพื้นที่ภายในซึ่งกั้นฝาไม้กระดาน ใช้เป็นห้องนอนของพระภิกษุ สามเณรประมาณ ๙๐ ตารางเมตร จัดเป็นสถานที่อาสน์สงฆ์ประมาณ ๑๒๐ ตารางเมตร ทำเป็นพื้นลดระดับสำหรับเป็นที่นั่งของอุบาสกอุบาสิกาประมาณ ๖๐ ตารางเมตร นอกนั้นเป็นชานน้ำฝนซึ่งลดระดับลงไปอีก สามารถตั้งโอ่งน้ำดื่มได้หลายใบ และเป็นที่พาดบันไดทางขึ้นกุฏิขนาดกว้าง ๑.๕ เมตร บนกุฏิส่วนที่เป็นอาสน์สงฆ์จะห้ามผู้หญิงขึ้นโดยเด็ดขาด

    เสาของกุฏิเป็นเสาสี่เหลี่ยมไม้เนื้อแข็ง หน้า ๑๘ เซนติเมตร ยาว ๗ เมตร จำนวน ๓๖ ต้น เสาค้ำและเสาชานขนาดเดียวกัน ยาวประมาณ ๓ เมตร จำนวน ๑๒ ต้น ยกโครงมุงหลังคา ความสูงของโดด (จากพื้นไม้กระดานถึงไม้ข้อสอง) สูงประมาณ ๒.๘ เมตร หลังคายกดั้งหักมุมแยกออกจากกันทำเป็นหลังคาเฉพาะที่มีความสูงลดหลั่น จำนวน ๓ หลัง ต่อเชื่อมชายคาของแต่ละหลังด้วยสังกะสีทำเป็นหางริน รวม ๓ สาย ต้องใช้ไม้เครื่องบนยึดโยงหลังคาเป็นจำนวนมากหลังคามุงแป้น (ไม้แผ่นหนา ๑.๕ เซนติเมตร กว้างประมาณ ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ได้จากการใช้ลิ่มตอกเป็นแผ่น ๆ)

    การก่อสร้างกุฏินำโดยอัญญาคูเทียม แก้วศรีนวม ตามแบบแปลนที่ได้มา มีการระดมช่างพื้นบ้านซึ่งจัดแบ่งออกเป็นหลายชุดเพื่อผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยเป็นลูกมือในการก่อสร้างแต่ละวัน จึงมีทั้งช่างประจำและชาวบ้านที่ไม่มีความชำนาญด้านช่างมาเป็นลูกมืออย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาก่อสร้าง โดยเป็นลักษณะของการไหว้วานไม่ต้องจ่ายเป็นค่าจ้างแต่อย่างใด ฝ่ายแม่บ้านก็จะทำหน้าที่จัดหาอาหารคาวหวานเพื่อมาถวายพระทั้งเช้า (จังหัน) และเพล รวมทั้งอาหารสำหรับคนงานก่อสร้างกุฏิด้วย

    (๒) โบสถ์เก่า (สิมเก่า) วัดศรีนันทาราม

    วัดศรีนันทาราม ตั้งอยู่ที่บ้านภู ตำบลบ้านเป้า อำเภอหนองสูง ชาวบ้านภูเป็นชนเผ่าผู้ไทยที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงราว พ.ศ.๒๓๘๗ ในรุ่นเดียวกันกับชาวเมืองหนองสูง เข้าตั้งบ้านเรือนที่ริมฝั่งห้วยบังอี่ เรียกชื่อว่า ไทยบ้านบังอี่ ต่อมาเจ้าสุโพสมบัติพาลูกบ้านประมาณ ๒๐ ครัวเรือน ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนฝั่งห้วยกระเบียนเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๔ เรียกชื่อว่า ไทบ้านหลุบภู ได้พากันตั้งวัดอยู่ริมฝั่งขวาของห้วยกระเบียนบริเวณวังกอไผ่ในปัจจุบัน บริเวณนี้จะเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมทุกปี จึงได้ย้ายบ้านเรือนมาตั้งถิ่นฐานที่ภูน้อย ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบันเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๕ และได้ย้ายวัดมาตั้งที่แห่งนี้ด้วย โดยชาวบ้านให้ชื่อวัดว่า“วัดโพธิ์ศรีแก้วกลางเขาไกรลาศ”ในสมัยของอัญญครูลอด อัญญาคูขัน โดยมีพระและเณรอยู่ที่วัดแห่งนี้จำนวนมาก


    ในปี พ.ศ.๒๔๕๐ เจ้าสุโพสมบัติถึงแก่กรรม เจ้าวรสาร (แสง) ผู้เป็นลูกชายก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ได้นำพาชาวบ้านก่อสร้างพระพุทธรูปด้วยดินจี่ (ดินเผา) ขึ้น เป็นพระประธานของวัด เพื่อให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ เคารพบูชา อัญญาคูลอดได้ขอวิสุงคามสีมาสำหรับสร้างสิม (อุโบสถ) ขนาดไม่ใหญ่นัก สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าพระประธาน และใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมสำหรับพระสงฆ์ ฝาของสิมเป็นไม้กระดานเข้าฝาแบบทางตั้ง และหลังคามุงแป้น (นำไม้ท่อนมาผ่าออกเป็นแผ่น ๆ) และขอตั้งชื่อวัดอย่างเป็นทางการว่า“วัดศรีนันทาราม”

    ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๘ อัญญาคูเถา อัญญาคูธรรม ได้พาชาวบ้านภู ตลอดจนพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาสร้างพระเจ้าใหญ่โดยทำการก่อดินจี่หุ้มพระประธานองค์เดิมที่ประดิษฐานในสิมไม้ โดยใช้ยางบงผสมกับปูนขาวใส่น้ำละลายคนให้เข้ากัน ทำการประสานก้อนดินจี่ให้จับยึดกันแน่นเป็นรูปองค์พระพุทธรูป ข้างในองค์พระสันนิษฐานว่าบรรจุเครื่องรางของขลัง สิ่งมงคลต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อัญญาคูเถา (บิดาของครูพิรัตน์ซึ่งอยู่บ้านแวงในปัจจุบัน) ทำหน้าที่เป็นช่างสร้างพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ตอนพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ โพธิบัลลังก์ พญามารวสวัตตีประทับบนหลังช้างคีรีเมขล์ สูง ๑๕๐ โยชน์ ยกทัพมาหมายจะทำลายความเพียรของพระพุทธเจ้า ฐานชุกชีที่ประทับนั่งเป็นเอวขัน ๓ ชั้น แต่ละชั้นประดับกระจกส่องมนกลม ความสูงของฐานชุกชีประมาณ ๑.๕ เมตร และองค์พระจากฐานที่ประทับนั่งถึงยอดแหลมเกศาสูงประมาณ ๒ เมตร นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทมีความยาวเสมอกัน การฉาบเก็บรายละเอียดขององค์พระพุทธรูปภายนอกใช้ปูนขาวปูนละครลายน้ำคลุกเคล้ากับยางบงให้เกิดความเหนียว แล้วใช้ฉาบตกแต่งพระวรกาย ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๖๙ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านของชาวบ้านภูที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพศรัทธา กราบไหว้ของชาวบ้านภู

    การก่อสร้างสิม ริเริ่มโดยอัญญาคูธรรม (เจ้าอาวาสวัดศรีนันทาราม พ.ศ.๒๔๖๐-๒๔๘๕) ท่านเป็นพระภิกษุที่เดินทางมาจากบ้านคำเดือย อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน การก่อสร้างเริ่มปี ๒๔๖๘ และแล้วเสร็จในปี ๒๔๗๔

    สิมวัดศรีนันทารามเป็นสิมยกพื้นสูง ๑.๕ เมตรกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๐ เมตร แยกเป็นพื้นที่ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่และทำสังฆกรรม ๔๘ ตารางเมตร ภายนอกเป็นที่อยู่ของอุบาสกอุบาสิกาในการทำพิธีกรรมทางศาสนา ๑๒ ตารางเมตร สิมหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ทำเป็นชานบันได ๔ ตารางเมตร มีขั้นบันไดทางขึ้น ๖ ขั้น ราวบันไดทั้งสองข้างปั้นเป็นรูปหัวมังกุดอ้าปาก ตาเป็นลูกแก้วกลมสีเขียว เลื้อยลอยตัวอยู่บนผนังทึบตามศิลปะของช่างญวน ที่ข้างประตูสิมทั้งสองข้าง แกะสลักภาพนูนเป็นทหารยืนตรงถือปืนในท่าเตรียมพร้อมสวมหมวกแก็ป หลังคาสิมมีโครงสร้างเป็นจั่วทรงสูง เดิมมุงหลังคาด้วยไม้แป้น ช่อฟ้าทั้งสองข้างทำจากไม้เนื้อแข็งแกะสลักลวดลายเป็นรูปหงส์ห้อยกระดิ่ง ใบระกามีลักษณะเป็นเจดีย์ตั้งอยู่ตรงกลาง ประดับตกแต่งด้วยการฝังกระจกเงากลมเป็นจุด ๆ จำนวน ๕ วง หมายถึง พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ปั้นลม ปั้นชาย เป็นไม้เนื้อแข็ง แกะสลักตัดฉลุเป็นลายไทยตามริมชายด้านล่าง หน้าบันสลักรูปพระพุทธเจ้าปางสมาธิอยู่ตรงกลางบนสุด ลดระดับลงมาเป็นขันรัฐธรรมนูญ ปีกข้างขวาซ้ายทำเป็นแจกันปักดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้า ลดลงมาอีกทำเป็นรูปตัวกิเลน ซ้าย-ขวา ด้านล่างตัวกิเลนสลักเป็นรูปเสือโคร่ง ช่องกลางล่างสุดเป็นรูปกึ่งคนกึ่งสัตว์ถืออาวุธอยู่ที่คอ เป็นกระจกส่องแผ่นเล็ก ๆ หนึ่งแผ่นติดไว้ให้มองสำรวจตนเอง

    มีเรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ใช้หลอกเด็กว่า เมื่อก่อนถ้ามีใครใช้มือชี้ไปที่รูปเหล่านั้น มักจะมีเภทภัยเกิดขึ้นกับตนเอง จะต้องมีการแก้เคล็ดโดยเอามือที่ชี้ แตะหรือล้วงเข้าไปในทวารตัวเองแล้วยกขึ้นมาดม ก็สามารถแก้เคล็ดได้

    ช่างที่เป็นคนก่อสร้างสิมเก่า ชาวบ้านภูได้ว่าจ้างช่างญวนมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งขณะนั้นฝั่งซ้ายถือว่าเป็นแผ่นดินไทย ช่างที่ว่าจ้างมามีแกวคำเป็นหัวหน้า มีลูกน้องได้แก่ แกวโยะ แกวกู้ และอีก ๒ คน ทำสัญญาจ้างกันเป็นเงิน ๖๐๐ บาท โดยขอความร่วมมือชาวบ้านช่วยกันรื้อสิมเก่า ขุด และวางฐานลงเข็มรอบ ๆ บริเวณสิมไม้เดิม การสร้างฐานมีการลงเสาเข็มและตำดินให้แน่น ดินจี่ที่ใช้ก่อสร้างได้มาจากดินเหนียวในบ่อข้างวัดนำมาเหยียบ นวดให้เข้ากับแกลบ ฟาง นุ่นแล้วนำไปลงบล็อกทำเป็นก้อนตากแดด ให้แห้งก่อนนำเข้าเตาเผา การสร้างสิมต้องใช้ก้อนดินจี่เป็นจำนวนมากจึงต้องหาบ่อดินเหนียวหลายแห่งทั้งใกล้วัดและไกลวัดออกไป เช่น ที่นาถ้ำบิ้งทางทิศตะวันตกห่างจากวัดประมาณ ๒๐๐ เมตร ชาวบ้านเรียกว่าหนองสิม เพราะเอาดินเหนียวจากหนองแห่งนี้มาสร้างสิมนั่นเอง เตาเผาแต่ละเตา ช่างญวนจะเรียงก้อนดินจี่ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น ขนากว้าง ๓ เมตร ยาว ๔ เมตร สูง ๒ เมตร ทำช่องเผาขนาดกว้าง ๐.๕ เมตร สูงประมาณ ๑ เมตร จำนวน ๒ ช่อง ใช้ฟืนดุ้นใหญ่ช่องละ ๓-๔ ท่อน เผาจนดินจี่ร้อนเป็นก้อนสีแดงจึงจะมีคุณภาพ

    การสร้างสิมใช้เวลาหลายปีกว่าจะแล้วเสร็จ การหาเงินก่อสร้างมีการแบ่งสายออกแผ่ปัจจัยบริจาคในหลายจังหวัด แต่อย่างไรก็ตามเงินบริจาคที่หามาได้ก็ไม่เพียงพอตามที่ตกลงกันไว้ จึงมีการติดต่อขอหญิงสาวชื่อ พอง ลูกสาวคนโตของตาโกน กลางประพันธ์ ให้สมรสกับแกวคำแทนค่าจ้างที่ไม่ครบจำนวนจนมีบุตรด้วยกัน ๒ คน ซึ่งปัจจุบันลูกของแกวคำคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านเป้า อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร และอีกคนอยู่ที่บ้านขี้แก้ว อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร

    ภาษา

    ชุมชนบ้านภูพูดภาษาผู้ไทย ซึ่งภาษาผู้ไท (เขียน ผู้ไทย หรือ ภูไท ก็มี) เป็นภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได มีผู้พูดจำนวนไม่น้อย กระจัดกระจายในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยและลาวเข้าใจว่า ผู้พูดภาษา
    ผู้ไทมีถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมอยู่ในเมือง นาน้อยอ้อยหนู ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เมืองนาน้อยอ้อยหนู อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของผู้ไทอยู่ทีไหน เพราะปัจจุบันมีเมืองนาน้อยอ้อยหนูอยู่ถึงสามแห่ง ตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแถงหรือปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟูแห่งที่สองอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแถง และแห่งที่สามอยู่ห่างจากเมืองลอของเวียดนามประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

    ชาวไทดำกับผู้ไทเป็นคนละชาติพันธุ์กัน นักภาษาศาสตร์สันนิษฐานว่า อพยพแยกจากกันนานกว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ในปัจจุบัน มีการจัดให้ภาษาผู้ไทเป็นกลุ่มย่อยของภาษาไทดำซึ่งไม่ถูกต้อง ผู้ไทอพยพจากนาน้อยอ้อยหนูไปอยู่ที่เมืองวังอ่างคำ ซึ่งคือเมืองวีระบุรี ในแขวงสุวรรณเขตประเทศลาวก่อนถูกกวาดต้อนมาอยู่ในดินแดนประเทศไทยเมื่อไม่ถึง ๒๐๐ ปีมานี้ ผู้ไทยที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงมีจำนวนไม่น้อย แต่ผู้ไทซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแถบแขวงสุวรรณเขตและแขวงคำม่วนในลาว ก็ยังมีประปราย มักจะเรียกผู้ไทยทั้งสองกลุ่มนี้รวม ๆ กันว่า "ผู้ไทยสองฝั่งโขง"

    ตัวอย่างคำศัพท์ภาษาผู้ไทย

    คำศัพท์ภาษาผู้ไท

    ความหมาย

    เจ้าไป๋เผอมา

    ผะเหลอเด๊ะ

    เอ็ดเผออยู่

    ยู่ซิเลอ

    เผออิ้

    เจ้าคือขี้ค้านแท๊ะ

    ยู่ซือซื้อ

    ญาเว้าสีซะ

    เจ๋อมิสู้

    เป๋นแนวเล่อ

    คือยู่บ่

    มากิ๋นเข้านัมเด๋ว

    ไป๋นัมเด๋ว

    โซเด๋วไป๋เผอ

    เว้าเผอเด๋ว

    ซัมบายดีบ่

    คุณไปไหนมา

    อะไรนะ

    ทำอะไรอยู่

    อยู่ไหน

    อะไรอีก

    คุณทำไมขี้เกียจจัง

    อยู่เฉยๆ

    อย่าพูดเกินไป

    ใจไม่สู้

    เป็นอย่างไร

    เหมือนหรือเปล่า

    มากินข้าวด้วยกัน

    ไปด้วยกัน

    ชวนกันไปไหน

    พูดอะไรกัน

    สบายดีไหม

คำศัพท์ภาษาผู้ไท

ความหมาย

ญาเอ็ด

มิได่

แม้นบ่

จักเอ็ดแนวเลอ

มาทะแม๊

มาเอ็ดเผอ

มาโลด

ยู่ซิเลอ

คือเว้าดั๋งแท๊ะ

คือเว้าหลายแท๊ะ

ไม่ต้องทำ

ไม่ล่ะ

ใช่หรือเปล่า

ไม่รู้จะทำอย่างไร

มาซะที

มาทำไม

มาเถอะ

อยู่ที่ไหน

ทำไมถึงพูดเสียงดังจัง

ทำไมพูดมากจัง

อาชีพ

อาชีพของชาวชุมชนบ้านภู คือ ทำนา ทอผ้า และหัตถกรรม

ความเชื่อ

ชุมชนผู้ไทยบ้านภูมีความเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษ โดยจะจัดพิธีเลี้ยงปู่ตา เป็นประจำทุกปี ในเดือน ๖ และยังมีพิธีกรรมเลี้ยงผีหมอเพื่อความมั่นคงในชีวิตและเพื่อการรักษาโรคอีกด้วย

การเดินทาง

๑) รถยนต์ส่วนตัว

บ้านภู อยู่ห่างจากตัวจังหวัดมุกดาหาร ๕๗ กิโลเมตร ห่างจากอำเภอหนองสูง ๗ กิโลเมตร การเดินทางใช้ถนนลาดยางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓๗๐ (สายหนองสูง –นิคมคำสร้อย) ห่างจากอำเภอนิคมคำสร้อยระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร

หากเดินทางโดยใช้ทางหลวงสายมุกดาหาร-กุฉินารายณ์ หมายเลข ๒๐๔๒ เลี้ยวเข้าตัวเมืองหนองสูงตรงทางแยกหน้าที่ว่าการอำเภอหนองสูง ตรงไปตามถนนหมายเลข ๒๓๗๐ สายอำเภอหนองสูง-อำเภอนิคมคำสร้อย ประมาณ ๗ กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านภู ตำบลบ้านเป้า อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร

๒) รถโดยสาร

(๑) รถยนต์โดยสารประจำทาง /รถปรับอากาศ กรุงเทพฯ – มุกดาหาร

รถสาย ๙๒๗, ๙๒๘ เดินทางตามเส้นทาง กรุงเทพฯ ->สระบุรี -> นครราชสีมา -> อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ->มหาสารคาม -> ร้อยเอ็ด ->ถึง อำเภอหนองสูง จังหวัด.มุกดาหาร

(๒) เวลารถโดยสารเข้าหมู่บ้าน

รถโดยสารจากสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหารไปบ้านภูและรถโดยสารออกจากบ้านภู มีวันละ ๓ เที่ยว ดังนี้

(๒.๑) ออกจากสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร

เที่ยวแรก รถออกช่วงเวลาประมาณ ๐๗.๓๐ น.

เที่ยวที่สอง รถออกช่วงเวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น.

เที่ยวแรก รถออกช่วงเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น.

(๒.๒) ออกจากบ้านภู

เที่ยวแรก รถออกช่วงเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น.

เที่ยวที่สอง รถออกช่วงเวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น.

เที่ยวแรก รถออกช่วงเวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น.

(๒.๓) ราคาค่าโดยสาร ๕๐ บาท

ศูนย์เรียนรู้ชุมชน

ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านภูจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับคนในชุมชนโดยมีผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์คอยดูแลให้ความรู้กับชาวบ้านโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งชาวบ้านภูและคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวโฮมสเตย์ได้สร้างฐานสาธิตการเรียนรู้เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาพักโฮมสเตย์ได้ใช้เป็นสถานที่ในการศึกษาดังนี้

ฐานที่๑ การลดรายจ่ายเป็นฐานที่ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว โดยการสาธิต กิจกรรม ที่สามารถลดรายจ่ายให้กับครัวเรือน เช่น การทำปุ๋ยหมัก น้ำหมัก การปลูกผักสวนครัว การ เลี้ยงสัตว์ ขุดบ่อเลี้ยงปลาทำน้ำหมักสารไล่แมลงน้ำยาล้างจาน การลดละเลิกอบายมุขและการทำ บัญชีครัวเรือน ฐานลดรายจ่ายตั้งอยู่ที่ กลุ่มปุ๋ยอัดเม็ดชีวภาพ มีการสาธิตการทำปุ๋ยทุกชนิด เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำ สูตรต่างๆปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งชุมชนสามารถเข้ามาเรียนรู้ และนำไปใช้ในครัวเรือนทดแทน การใช้ปุ๋ยเคมีในนา ไร่ สวน สามารถลดรายจ่ายค่าปุ๋ยได้เป็นอย่างมาก

ฐานที่๒ ด้านการเพิ่มรายได้นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนสามารถเข้ามาเรียนรู้กับ กลุ่มอาชีพที่มีอยู่ในหมู่บ้านได้ตามความถนัด ได้แก่ กลุ่มทอผ้าฝ้ายลายขิดบ้านภู กลุ่มทอผ้าฝ้ายแปรรูปบ้านภู กลุ่มพัฒนาอาชีพทอผ้าไหมบ้านภู กลุ่มทอผ้าคีรีนคร กลุ่มเพาะเห็ดและกลุ่มเลี้ยงโค จนสามารถทำเป็น อาชีพเสริม ทำให้ครัวเรือนมีรายได้ เพิ่มขึ้นจากอาชีพหลักที่ทำอยู่ และทุกครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ฐานที่๓ ด้านการประหยัดมีการดำเนินงานกิจกรรมกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านภู และธนาคารหมู่บ้านคีรีนคร ส่งเสริมให้คนในชุมชนรู้จักการประหยัด ทำให้คนในชุมชนสามารถดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และสอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวภูไท ที่รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด รู้จักเก็บออม มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้อย่างรู้คุณค่า

ฐานที่๔ ด้านการเรียนรู้คณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวได้จัดให้มีการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยปราชญ์ชาวบ้านจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีที่สำคัญให้กับลูกหลานในหมู่บ้าน ได้แก่ อัตลักษณ์วิถีชีวิตผู้ไท ซึ่งมีหลักยึดมั่นในความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี และใฝ่ศึกษา การแต่งกายแบบผู้ไท การขับรองเพลงสอนธรรมะ เพลงกล่อมเด็ก การเล่นคนตรีพื้นบ้าน เช่น โปงลาง การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ และการถักสายรัดประคตไหมสำหรับพระภิกษุ เป็นต้น

ฐานที่ ๕ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นฐานที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับพืช ผักพื้นบ้าน และการใช้สมุนไพรในการรักษาโรค การแบ่งเขตรับผิดชอบดูแลป่า ภูเขาและแหล่งน้ำในชุมชน โดยกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้าน ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่ ในการดูแลเขตอนุรักษ์ป่า ภูเขา และต้นน้ำลำธารต่าง ๆ

ฐานที่๖ ด้านการเอื้ออารีต่อกันให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการของหมู่บ้าน การเตรียมความพร้อมการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของคนในชุมชน มีการจัดตั้งกองทุนฌาปนกิจขึ้น ๓ กองทุนได้แก่ กองทุนฌาปนกิจบ้านภู กองทุนฌาปนกิจ ธนาคารหมู่บ

สถานที่ตั้ง
บ้านภู
อำเภอ หนองสูง จังหวัด มุกดาหาร
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
บุคคลอ้างอิง วารุณี ทวีพัฒน์ อีเมล์ culture.mukdahan@gmail.com
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมุกดาหาร
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่