มีเรื่องเล่ากันมาว่า ในป่าช้าร้างแห่งหนึ่งมี ๒ ผัวเมียมาหักร้างถางพงเพื่อสร้างบ้าน ในตอนเย็นวันหนึ่งใกล้ค่ำผู้เป็นเมียก็ออกมาตำข้าวเพื่อไว้หุงให้เพื่อนบ้านที่มาช่วยสร้างบ้านกินกัน สักครู่ก็ไห้ยินเสียงคนมาพูดอยู่ใกล้ ๆ กระต๊อบว่า “เราอยู่ไม่ได้แล้วที่ตรงนี้เขามาแย่งที่อยู่เราเสียแล้วทั้ง ๆ ที่เราอยู่มาไม่เคยให้ร้ายใคร” ส่วนผู้เป็นผัวนั้นออกจากบ้านไปตั้งแต่ ๔ โมงเย็นเพื่อไปขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยสร้างบ้านเจอบ้างไม่เจอบ้างจนใกล้ค่ำก็กลับบ้านระหว่างทางก็แวะคุยกับพระเจ้าอาวาสของวัดในหมู่บ้านคุยกันเพลินจนดึก แกก็ขอตัวกลับบ้านเพราะรู้สึกหิว ระยะทางจากวัดไปบ้านที่แกอยู่นั้นไกลมากต้องเดินผ่านบ้านชายคลองท่าช้าง ขณะที่เดินผ่านไปแกก็เห็นคนรูปร่างใหญ่โตยืนถือคบไฟอยู่ข้างหน้า แต่แกก็ไม่รู้สึกกลัวเพราะแกเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่พอตัว เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นคนรูปร่างใหญ่โตยืนขวางทางแกไว้ ในมือถือคบเพลิงอันใหญ่ ก็รู้ว่าเป็นผี เมื่อแกไม่กลัวผีคงหลีกทางให้ แต่ผีตนนั้นก็ไม่หลีกไม่เคลื่อนที่ไปไหนแกก็เลยหยิบหมากออกมา เคี้ยวกิน จนหมากหมดผีก็ไม่ไปไหนแกเองก็หิวมากไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตั้งจิตระลึกถึงครูหมอ ปู่ย่าตายายว่า หากผีตนนี้จะทำอะไรตนก็ทำเสีย ถ้าไม่ทำก็หลีกทางไปเสียแกจะรีบกลับบ้าน ในที่สุดผีตนนั้นก็จากไป มันเดินไปตามป่าต้นยางเข้าไปในป่าช้า แกจึงรู้ว่าผีตนนั้นเป็นผีเจ้าป่าช้า แกกลับถึงบ้านกินข้าวกินปลาเสร็จก็เข้านอนโดยไม่บอกเล่าให้เมียแกฟัง รุ่งเช้าเพื่อนบ้านที่แกไปขอแรงก็มาช่วยกันสร้างบ้านจนเสร็จแกและเมียก็ได้เข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น