ประวัติหลวงพ่อตะเคียนทองหลวงพ่อตะเคียนทองจัดได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งจะขอนำประวัติการสร้างอันมหัศจรรย์มาบอกต่อท่านทั้งหลายตามที่ได้รู้ได้เห็นมาดังนี้ย้อนหลังไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้มีพระอาจารย์องค์หนึ่งนามว่าพระอาจารย์สงค์ เป็นคนอำเภอเมืองสกลนครจังหวัดสกลนคร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดเสบุญเรืองพระอาจารย์สงค์ท่านเป็นพระเถระยุคเดียวกันกับพระอาจารย์มั่นพระอาจารย์เสาร์ แต่ท่านละสังขารไปก่อนพระอาจารย์มั่นหลายปี ผู้คนในรุ่นหลังจึงไม่รู้จักชื่อเสียงของท่านเท่าที่ควร ท่านพระอาจารย์สงค์เมื่อมาถึงก็เห็นสภาพวัดเสบุญเรืองในยุคนั้นทรุดโทรมไปมาก ท่านจึงพาญาติโยมพร้อมทั้งพระเณรในวัดทำการบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะกุฎิต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง พอเสร็จจากทางด้านบูรณะปฎิสังขรณ์แล้วท่านจึงคิดว่า ควรจะสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นไว้เป็นสมบัติของวัดสักองค์ จะได้เป็นสง่าราศีแก่วัดสืบต่อไปในภายภาคหน้า แต่ในยามนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะเข้าสู่สงครามครั้งที่๑ ข้าวยากหมากแพงจากภาวะดังกล่าวหากจะสร้างพระพุทธรูปด้วยอิฐด้วยปูนก็จะเป็นการรบกวนปัจจัยชาวบ้านให้เดือดร้อนเข้าไปอีก การสร้างพระของท่านในครั้งนั้นจึงเพ่งเล็งไปที่ต้นไม้เป็นสำคัญ เนื่องจากต้นไม้ใหญ่ในสมัยนั้นยังหากันได้ไม่ยากท่านจึงแจ้งความประสงค์ของท่านต่อญาติโยมซึ่งทุกคนก็มีความเห็นพ้องต้องกันท่านทั้งหมดจึงมอบหน้าที่ให้มัคทายก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่ชาวบ้านให้ความนับถือในยุคนั้น อันประกอบด้วย นายพรหมทิพย์สุริย์,นายบัวศรีทิพย์สมบัติ,นายสีทา,นายสีโห,และนายเป โลกวิไล,ให้พากันออกเสาะแสวงหาต้นไม้ขนาดใหญ่เหมาะ ๆ สักต้นเพื่อที่จะได้ตัดโค่นมาแกะสลักทำเป็นพระพุทธรูปได้ ก็เผอิญที่ดอนอุโมงค์ตำบลนาคำ อำเภอวานริวาส จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นป่าต่อจากหัวนาของนายเป โลกวิไลนั้น ได้มีต้นตะเคียนใหญ่ประมาณ ๕ คนโอบได้อยู่ต้นหนึ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ดูเหมือนจะเหมาะกว่าต้นไม้อื่น ๆ ที่เคยเห็นมา แต่ต้นตะเคียนต้นนี้ชาวบ้าน ๓ บ้านคือ บ้านดอนมุย บ้านหนองขุ่นบ้านน้อยนาคำ ต่างให้ความเคารพนับถือสักการะกราบไหว้กันมานับ ๒ - ๓ ชั่วคน เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของผีสางนางไม้เหล่ารุกขเทวดา ท่านอาจารย์สงค์จึงเกิดสนใจออกไปดูต้นพญาตะเคียนต้นนั้นด้วยตนเองพอไปถึงก็เห็นที่โคนต้นมีศาลไม้เก่า ๆ และที่บนศาลมีดอกไม้ธูปเทียนวางสุมกันอยู่มากมายทั้งเก่าและใหม่แสดงให้เห็นว่า ได้มีชาวบ้านแวะเวียนมาเช่นบวงสรวงมิได้ขาดสาย ท่านพระอาจารย์สงค์รู้สึกพอใจพญาตะเคียนต้นนี้มากได้ตัดสินใจว่าจะต้องเอาไปทำ พระพุทธรูปให้ได้ จึงเรียกประชุมชาวบ้านทั้ง ๓ หมู่บ้านแล้วแจ้งความประสงค์ของตนพร้อมทั้งบอกคุณประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ หากนำต้นตะเคียนไปทำเป็นพระพุทธรูป ในที่สุดชาวบ้านทั้งหมดต่างเห็นด้วยเป็นอย่างดี แต่ส่วนใหญ่มีข้อแม้ว่าจะไม่ขอร่วมในพิธีเพราะกลัวอาเพศจากภูตผีกระทำเอาหากอาจารย์ไม่กลัวอำนาจภูตผีหรือเจ้าป่าเจ้าเขา จะสำแดงเดชกระทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเสียชีวิตก็ขอนิมนต์ตามต้องการเถิด จนกระทั่งออกพรรษาเม็ดฝนเริ่มขาดท่านพระอาจารย์สงค์ได้เลือกเอาวันเพ็ญเดือน ๑๒ คือวันลอยกระทงเป็นวันเริ่มทำพิธีโดยในเช้าวันนั้นท่านได้พาญาติโยมบางส่วนจากทั้ง ๓ หมู่บ้านรวมทั้งญาติโยมอีกส่วนหนึ่งจากในตลาดอำเภอวานรนิวาส ที่ต้องการจะเข้าร่วมในพิธีจัดหาเครื่องเช่นคาวหวาน เหล้าไห ไก่ต้มดอกไม้ธูปเทียนออกไปยังป่าดอนอุโมงค์และทำการปัดกวาดรอบ ๆ โคนตะเคียน จากนั้นทำพิธีขอด้วยพิธีอัญเชิญรุกขเทวาเหล่านั้นให้ลงจากต้นตะเคียนไปหาที่อยู่ใหม่พร้อมจัดเครื่องคาว - หวานเช่นสังเวย ในคืนนั้นเองท่านพระอาจารย์สงค์มิได้กลับวัดแต่ได้ปักกลดเข้านั่งสมาธิแผ่เมตตาอยู่ตรงหน้าศาลใต้ต้นตะเคียนนั้นจนตลอดคืน สำหรับชาวบ้านก็ทยอยกลับกันหมดคงเหลือแต่มัคทายก ๕ คนข้างต้นที่ยังนอนเฝ้าพระอาจารย์ในป่านั้นทั้งคืน พระอาจารย์สงค์นั้งแผ่เมตตาจิตอยู่ในกลดเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนเต็ม ๆ โดยที่ท่านมิได้เเตะต้องข้าวน้ำเลยพวกเทวดาชั้นต่ำที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้นั้นจึงยอมสยบหลีกทางและในคืนที่ ๗ อันเป็นคืนสุดท้ายตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ จะเป็นการข่มขวัญสำแดงเดชหรือว่าจะเป็นเพราะรุกขเทวาเหล่านั้นเกิดศรัทธาในตัวพระอาจารย์ ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์คือตั้งแต่ตอนหัวค่ำเป็นต้นไปท้องฟ้าโปร่งปลอดหมู่เมฆ ดวงดาวพราวพร่างเต็มฟ้า พอใกล้ ๒ ยาม พระจันทร์ข้างแรมครึ่งซีกก็โผล่เพิ่มความสว่างขึ้นมาเหนือทิวไม้ พอเข้ายาม ๓ บรรยากาศนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลมป่าพัดกรรโชกมาเป็นระยะท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มกระหึ่มครืน ๆ ลมโหมกระหน่ำหนักขึ้นป่าทั้งป่าป่วนปั้นอื้ออึงไปทั่วทันใดนั้นฝนลูกเห็บก็โปรยลงมายังกับห่ากระสุนลมป่าห่าฝนพิ่มความแรงขึ้นเป็นทวี พระอาจารย์สงค์นั่งสงบเปียกโชกอยู่ในกลด ส่วนโยมทั้ง ๕ ก็ถูกลมฝนกระหน่ำเอาจนเพิงหมาแหงนกระจุยกระจายปลิวว่อน นั่งอยู่ใกล้ ๆ พระอาจารย์เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ต้นตะเคียนเริ่มโงนเงนแล้วเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตะเคียนยักษ์ต้นนั้นได้ล้มครืนลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าถล่มทลายและก็ล้มลงทางตรงกันข้ามกับที่พระอาจารย์ปักกลดอยู่ พอต้นตะเคียนใหญ่ล้มแล้วลมป่าอันน่าระทึกก็พลอยถอยห่างสร่างซาแล้วสงบลงก็เป็นเวลาสว่างพอดี การกระทำของพระอาจารย์สงค์กอปรกับสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทำเอาชาวบ้านทั่วสารทิศต่างชื่นชมในบารมีของท่านที่ต้นตะเคียนล้มลงมาเองโดยไม่ต้องตัดเมื่อได้ต้นไม้ใหญ่สมดังใจแล้วท่านก็ได้พาญาติโยม ทั้งพระหนุ่มเณรน้อยออกไปตั้งทัพแรมคืนในป่านั้นช่วยกันตัดต้นตะเคียนนั้นออกเป็น ๓ ท่อนให้มีส่วนสัดลดหลั่นกันไปตามความเหมาะสมแล้วช่วยกันถากแกะสลักแปรเปลี่ยนไม้นั้นให้เป็นพระพุทธรูปปางสะดุ้ง ๓ องค์ (ปางมารวิชัย) พระพุทธรูปองค์ใหญ่สุดขนาดหน้าตักกว้าง ๓ เมตร