ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 13° 55' 24.7303"
13.9235362
ลองจิจูด (แวง) : E 100° 23' 40.9618"
100.3947116
เลขที่ : 195651
ต้นไม้ ‘รุกข มรดกแผ่นดิน’ ปี 62
เสนอโดย นนทบุรี วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
อนุมัติโดย นนทบุรี วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
จังหวัด : นนทบุรี
0 907
รายละเอียด

กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้เลือกต้นไม้ รุกข มรดกของแผ่นดิน เพื่อรวบรวมข้อมูลต้นไม้ ไปใช้ในการสืบค้น เผยแพร่ และส่งเสริมให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และให้เด็กเยาวชน ประชาชน เห็นความสำคัญของต้นไม้และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาต้นไม้

รุกขมรดก นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าหรือมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ซึ่งไม่สามารถแทนที่ได้ เกณฑ์พื้นฐานสำหรับการกำหนดต้นไม้มรดกที่มีคุณค่าคือ อายุ ความหายาก และขนาด รวมถึงสุนทรียศาสตร์ พฤกษศาสตร์ นิเวศวิทยา และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ในบางประเทศมีการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองต้นไม้ที่เป็นมรดกของชาติ เช่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

สำหรับ รุกข มรดก ของแผ่นดิน 88 ต้น ทั่วประเทศไทย ได้แก่

1. ต้นมะเดื่อยักษ์ หมู่บ้านวุ้งกะสัง จ.กำแพงเพชร

2. ต้นตะเคียนทอง วัดพระธาตุดอยภูแก้ว จ.เชียงราย

3. ต้นยมหิน วัดพระธาตุดอยภูแก้ว จ.เชียงราย

4. ต้นสมอพิเภก อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ จ.เชียงใหม่

5. ต้นไทรโอบต้นสัก ดงพระเจ้า จ.เชียงใหม่

6. ต้นขนุน ชุมชนไทลื้อ จ.เชียงใหม่

7. ต้นราชพฤกษ์ วัดมณีบรรพวรวิหาร จ.ตาก

8. ต้นแจง เมืองเก่าเวสาลี จ.นครสวรรค์

9. ต้นเต่าร้างยักษ์ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน

10. ต้นขี้เหล็ก บ้านสันป่างิ้ว จ.พะเยา

11. ดงต้นตะแบก ป่าดงเปือยเปียง จ.พะเยา

12. ต้นสะตือ ริมคลองข้าวตอก จ.พิจิตร

13. ต้นปีบ ถนนสังฆบูชา จ.พิษณุโลก

14. กลุ่มต้นโพธิ์วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก

15. ต้นมะขามเปรี้ยว หน้าวัดปากห้วยขอนแก่น จ.เพชรบูรณ์

16. กลุ่มต้นสนสองใบ สวนสนดงแปก จ.เพชรบูรณ์

17. สวนสัก บ้านแม่พวก จ.แพร่

18. ต้นกระพี้จั่น หน่วยพิทักษ์ป่าโพซอ จ.แม่ฮ่องสอน

19. ป่าสักนวมินทรราชินี จ.แม่ฮ่องสอน

20. ต้นพิกุล วัดป่าเสียด จ.ลำพูน

21. ต้นบุนนาค วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน

22. ต้นตาล 3 ยอด บ้านดอกจันทร์ จ.สุโขทัย

23. ต้นมะขาม หมู่ 7 บ้านนากลาง จ.สุโขทัย

24. ต้นบุนนาค วัดคุ้มตะเภา จ.อุตรดิตถ์

25. ต้นขานาง กองการเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทหารพัฒนา ต.ท่าเสา จ.กาญจนบุรี

26. ต้นเสลา วัดถ้ำองจุ จ.กาญจนบุรี

27. ต้นพญางิ้วดำ วัดเขาช่องกลิ้งช่องกรด จ.กาญจนบุรี

28. กลุ่มต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม

29. ต้นทุเรียนนนท์ พันธุ์ย่ำมะหวาด สวนเพ็งสุข จ.นนทบุรี

30. ต้นสะตือ วัดสิงห์ จ.ปทุมธานี

31. ต้นเกด วัดสิงห์ จ.ปทุมธานี

32. กลุ่มระบบนิเวศป่าโกงกาง วนอุทยานปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

33. ต้นโพธิ์ วัดพระงาม จ.พระนครศรีอยุธยา

34. กลุ่มต้นยางนา ถนนเพชรเกษม จ.เพชรบุรี

35. ต้นพิกุล วัดไลย์ จ.ลพบุรี

36. ต้นมะเกลือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี

37. กลุ่มระบบนิเวศป่ายางนา จ.สระบุรี

38. ต้นมะกล่ำต้น วัดโคปูน จ.สิงห์บุรี

39. ต้นยางนาคู่ วัดยางทอง จ.อ่างทอง

40. กลุ่มต้นยางนา ถนนสายสุขุมวิท จ.จันทบุรี

41. ต้นเลียบประวิช จ.ชลบุรี

42. กลุ่มต้นตะเคียนและต้นยาง วัดอุดมธานี จ.นครนายก

43. กลุ่มระบบนิเวศป่าไม้เสม็ดขาว จ.ระยอง

44. ต้นชุมแสง หมู่ 1 ต.กระเฉด จ.ระยอง

45. ต้นมะขาม องค์การบริหารส่วนตำบลเขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว

46. กลุ่มต้นยางนา บ้านกลางหมื่น จ.กาฬสินธุ์

47. ต้นเฉลียงทอง วัดเฉลียงทอง จ.ขอนแก่น

48. ต้นประดู่ หมู่ 4 บ้านกระจวน จ.ชัยภูมิ

49. ต้มจามจุรี วัดจอมศรี จ.นครพนม

50. ต้นกันเกรา บ้านดงติ้ว จ.นครพนม

51. ต้นกระบก โครงการชลประทานบึงกาฬ จ.บึงกาฬ

52. ต้นมะค่าโมง สวนป่าชุมชนบ้านซาด จ.บุรีรัมย์

53. ต้นพฤกษ์ บ้านพักศึกษาธิการอำเภอนาดูน จ.มหาสารคาม

54. ต้นพลวง โรงเรียนบ้านหัวช้าง จ.มหาสารคาม

55. ต้นค้างคาว อนุสาวรีย์พระศรีสุวรรณวงศา จ.มหาสารคาม

56. ต้นสำโรง วัดบางทรายใหญ่ จ.มุกดาหาร

57. ต้นพอก วัดป่าหนองสิม จ.ยโสธร

58. ตะพะยูง ดอนปู่ตา จ.ร้อยเอ็ด

59. กลุ่มต้นจำปาลาว พระธาตุศรีสองรัก จ.เลย

60. กลุ่มต้นค้างคาว หอน้อย บ้านเดิ่น จ.เลย

61. กลุ่มต้นลำดวน สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จ.ศรีสะเกษ

62. กลุ่มต้นสนยักษ์ วนอุทยานป่าสนหนองคู จ.สุรินทร์

63. ต้นชิงชัน วัดภูผาดัก จ.หนองคาย

64. ต้นมะค่าโมง วัดถ้ำสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู

65. กลุ่มต้นยางนา วัดนาคาเทวี จ.อุดรธานี

66. ต้นจามจุรียักษ์ บ้านสองคอน จ.อุบลราชธานี

67. กลุ่มต้นชมพูน้ำ ป่าพรุ ท่าปอมคลองสองน้ำ จ.กระบี่

68. ต้นตำเสา กุโบร์บ้านร่าหมาด จ.กระบี่

69. ต้นทุเรียนบ้านขี้เล็ด จ.ชุมพร

70. ต้นตะเคียนทอง หมู่ 16 บ้านคล้องช้าง จ.ชุมพร

71. กลุ่มต้นกระบากทอง สวนพฤกษศาสตร์ จ.ตรัง

72. ต้นหมากพลูตั๊กแตน หมู่ 3 ต.ปากคม จ.ตรัง

73. ต้นไทร ศาลหลวง จ.นครศรีธรรมราช

74. ต้นโพธิ์ วัดพระพุทธ จ.นราธิวาส

75. ป่าชายเลยถ้ำโกงกาง เกาะพนัก จ.พังงา

76. ต้นกระทิง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา

77. กลุ่มต้นพะยอม วัดป่าพะยอม จ.พัทลุง

78. กลุ่มต้นตาลโตนด แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต

79. ต้นตำเสา หมู่ 2 ต.ยุโป จ.ยะลา

80. ต้นอบเชย สวนรุกขชาติรักษะวาริน จ.ระนอง

81. กลุ่มต้นตาลโตนด อำเภอสิงพระ จ.สงขลา

82. ต้นทุเรียนบ้านพันธุ์ซุ้มหมู จ.สตูล

83. ต้นขนุนทอง ต.แป-ระ จ.สตูล

84. ต้นไม้คู่ (ต้นไทรและต้นไข่เขียว) หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี

85. ต้นจำปาป่า แหล่งเรียนรู้การอนุรักษ์ป่าชุมชนตามศาสตร์พระราชา จ.สุราษฎร์ธานี

86. ต้นสมอไทย โรงเรียนวัดเปาโรหิตย์ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

87. ต้นไทรย้อย วิทยาลัยเทคโนโลยีพระราม 6 เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

88. กลุ่มต้นจามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

นนทบุรีเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ภาคกลางของประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี และนนทบุรี โดยห่างจากกรุงเทพมหานคร 20 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 622,303 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 388,939.37 ไร่ ปัจจุบันแยกออกได้เป็น 6 อำเภอได้แก่ อำเภอเมือง มีพื้นที่ 77.018 ตารางกิโลเมตร อำเภอปากเกร็ด มีพื้นที่ 89.023 ตารางกิโลเมตร อำเภอบางกรวย มีพื้นที่ 96.398 ตารางกิโลเมตร อำเภอบางบัวทอง มีพื้นที่ 116.439 ตารางกิโลเมตร อำเภอไทรน้อย มีพื้นที่ 186.017 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่ตามลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดนนทบุรี มีแม่น้ำเจ้าพระยาแบ่งพื้นที่ของจังหวัดออกเป็น 2 ส่วน ฝั่งตะวันออกและตะวันตก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีคูคลองทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดจากการขุดขึ้นมาใหม่เป็นจำนวนมากเชื่อมติดกัน ลักษณะภูมมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบฤดูฝน ฤดูหนาวและฤดูรอน แต่เนื่องจากลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มมีความแตกต่างของระดับพื้นดินเพียงเล็กน้อย สภาพภูมิอากาศจึงมีลักษณะค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดพื้นที่ (สำนักงานส่งเสริมเกษตรจังหวัดนนทบุรี, 2549)

จังหวัดนนทบุรี นับได้ว่าเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงแหล่งหนึ่งในการปลูกทุเรียนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญประจำจังหวัดนนทบุรี ความว่า “พระตำหนัก สง่างาม ลือนาม สวนสมเด็จ เกาะเกร็ด แหล่งดินเผา วัดเก่า นามระบือ เลื่องลือ ทุเรียนนนท์ งามน่ายล ศูนย์ราชการ” ซึ่งแสดงถึงการเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของทุเรียนนนทบุรีในอดีตได้เป็นอย่างดี มีผู้สันนิษฐานว่า ได้มีการนำเอาทุเรียนเข้ามาแพร่กระจายพันธุ์ในประเทศไทย ราวสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือ ในราวปี พ.ศ. 2330 โดยพบหลักฐานจากเอกสารฐานเกษตรกรรม ระบุว่า ทุเรียนแพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2330 จากภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศพม่า และแพร่เข้ามาทางใต้ของประเทศไทย

ต่อมาได้มีการนำเอาพันธุ์ทุเรียนต่างๆ เข้ามาปลูกเป็นสวนทุเรียนอย่างแพร่หลายในแถบธนบุรีตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาและขยายพื้นที่มาจนถึงจังหวัดนนทบุรี ทำให้ตลาดนนทบุรีในอดีตกลายเป็นแหล่งขายทุเรียนที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ และเนื่องจากทุเรียนนนท์มีเนื้อละเอียดนุ่ม รสชาติ และความหลากหลายของสายพันธุ์ กล่าวกันว่า ดินในแถบนนทบุรี เป็นดินเหนียวที่มีธาตุอาหารของพืชอย่างบริบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากดินในแถบอื่นๆ ที่มีการปลูกทุเรียน จึงทำให้เนื้อทุเรียนที่มาจากจังหวัดนนทบุรีละเอียด เนื้อหนาและรสดีมาก จึงทำให้ทุเรียนนนท์ มีราคาสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด นำรายได้เข้าสู่ชุมชนและจังหวัดนนทบุรีปีละหลายร้อยล้านบาท (สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนนทบุรี, 2542)

ทุเรียน "ราชาแห่งผลไม้" ทุเรียนเป็นผลไม้เมืองร้อนที่เก่าแก่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตอนใต้ เป็นผลไม้ที่มีความแปลกทั้งรูปร่าง สี และรสชาติมีผลเต็มไปด้วยหนาม เนื้อสีขาวเหลืองหรือสีจำปาซึ่งน่ารับประทานเนื้อทุเรียนส่วนใหญ่จะใช้รับประทานสด มีรสอร่อยมากเป็นผลไม้ที่มีราคาแพง ชาวสวนทุเรียนส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้นและร่ำรวยเพราะปลูกทุเรียนก็มีมาก นนทบุรีมีทุเรียนคุณภาพดีเมื่อคิดราคาต่อผลแล้วมีราคาแพงที่สุด และยังไม่มีประเทศใดในโลกที่ปลูกและมีทุเรียนดีเท่าประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ทุเรียนจึงเป็นผลไม้อย่างหนึ่งที่เชิดหน้าชูตาของคนไทย

ทุเรียนนนท์ ชื่อนี้เลื่องลือกันว่าเป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุด รสชาติเป็นเลิศนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกัน ทุเรียนนนท์หรือในอีกชื่อของคนนนท์ "ทุเรียนใน" เป็นทุเรียนที่ผู้คนให้ความนิยมกันมาตั้งแต่อดีต จึงทำให้ราคาสูงหาซื้อยาก รับประทานก็ยากเช่นกัน แต่ทุเรียนนนท์ได้หายไปจากความนิยมช่วงหนึ่ง

เนื่องจาก มีมากมายที่เข้ามาแทนที่ไม่ว่าทุเรียนจากภาคตะวันออก ภาคใต้ ล้วนแต่มีคุณภาพเกือบจะแทนที่ทุเรียนของนนทบุรีอยู่แล้ว สาเหตุที่ทำให้ทุเรียนนั้นหายไปจากนนท์ มีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะน้ำท่วมปี พ.ศ.2538 และมหาอุทกภัย ปีพ.ศ.2554 ที่สร้างความเสียหายจากพื้นที่ปลูก 3,475 ไร่เหลือเพียง 43 ไร่ให้ผลผลิตแล้วเพียง 16 ไร่

จากพื้นที่ปลูกในทุกอำเภอ ความเจริญของสังคมเมือง การเกิดของหมู่บ้าน การตัดถนนใหม่ๆหลายสาย ทำให้สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป น้ำเสียและ อากาศร้อนหรือปัญหาโลกร้อนด้วยก็ได้ หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทำให้หลายคนคิดว่าทุเรียนนนท์หายไปแต่ในความเป็นจริง สิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญหลายคนไม่เคยนึกถึงนั้นคือ การสืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของชาวสวนนนท์ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสืบทอดขาดช่วงไปชาวสาวนนท์ส่วนใหญ่เป็นผู้อันมีจะกินหรือว่ารวยนั้นแหละ เพราะทุเรียนมีราคาแพงก็ส่งลูกเรียนหนังสือจบกันสูงๆมากมาย รับราชการ ตำรวจ ทหาร ทำงานกันมีหน้ามีตา ตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยถึงอธิบดี ทำให้ไม่เคยหันกลับมามองอาชีพชาวสวนกันเลย ไม่มีลูกหลานบ้านไหน ที่จะคิดทำสวนเพราะเป็นงานหนักและลำบากทุกคนก็พูดกันเป็นอยู่คำเดียวว่า ”ไม่มีเวลาทำสวน” พ่อแม่ก็เริ่มชราทำสวนก็ไม่ไหว ทิ้งสวนทุเรียนให้ร้างไปโดยไม่มีใครเหลียวแลเลย ทุเรียนที่ไม่ถูกน้ำท่วมหรือไม่โดนถนนตัดผ่านแต่ขาดการดูแลนั้นมากกว่า นี้คือปัญญาสำคัญที่เห็นกันอยู่มื่อถามว่าภูมิปัญญาของคนนนท์นั้นสิ้นไปแล้วหรือ ทั้งๆ ที่มาของพันธุ์ทุเรียนส่วนใหญ่เกิดจากนนทบุรีตั้งแต่ 160 กว่าปีแล้ว

ทุเรียน เป็นผลไม้รสดี ราคาแพง มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ต้นทุเรียนสามารถเติบโตได้ดีในแถบภูมิอากาศร้อน เกาะบอร์เนียว เป็นศูนย์กลางความหลากหลายของพืชสกุลทุเรียนและแพร่ขยายไปสู่ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย

ทุเรียน มีพันธุ์ในสกุล Durio กว่า 28 ชนิด เป็นทุเรียนผลที่บริโภคได้ 7 ชนิดและ 21 ชนิด ไม่สามารถบริโภคได้ เฉพาะประเทศไทยพบกว่า 6 ชนิด คือ ทุเรียนนก ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า D.griffithii และ D.lowianus พบในจังหวัดยะลา ระนอง และตรัง พันธุ์ทุเรียนดอน ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า D.malaccensis พบในจังหวัดยะลา และนราธิวาส พันธุ์ทุเรียนป่า ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า D.monsoni และ D.pinangianus พบในจังหวัดชุมพร ระยองและนราธิวาส พันธุ์ทุเรียนปลูก ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า D.zibethinus อยู่ทั่วไปในทุกจังหวัด (Suranant Subhadrabandhu; & Saichol Kesta. 2001: 4-6)

โดยพบว่ามีเพียงทุเรียนปลูก ซึ่งอยู่ในวงศ์ Bombacaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Duria zibethinus Murr.” เท่านั้นที่สามารถนํามาใช้ในการบริโภคได้ (สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนนทบุรี. 2542)

มีเพียงชนิดเดียว คือ ทุเรียนปลูก (Durio zibethinus Murray) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Bombacaceae ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และมีการปลูกเชิงการค้าอย่างแพร่หลาย เรียกชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น คือ ทุเรียนในภาษาไทย และ ดูเรียน (durian) ในภาษามลายู อินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ ชื่อของทุเรียนในภาษาไทย มีรากศัพท์จากคำในภาษามลายู และอินโดนีเซีย ว่า “ดูเรียน” ซึ่งมาจากคำว่า “ดูริ”(duri) ที่แปลว่า “หนาม” และแปลงสำเนียงเป็น ทูลเรียน และ “ทุเรียน” ในที่สุด

สมัยกรุงศรีอยุธยา

หัวหน้าคณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส เมอร์ซิเออร์ เดอลาลูแบร์ เดินทางมาเจรจาการค้ากับไทย ได้เขียนบันทึกสิ่งต่างๆที่ได้พบเห็นเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย โดยมีเรื่องที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมของไทยตอนหนึ่ง ได้ระบุเกี่ยวกับทุเรียนไว้ว่า “ดูเรียน (Durion) ชาวสยามเรียกว่า “ทูลเรียน” (Tourrion) เป็นผลไม้ที่นิยมกันมากในแถบนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าไม่สามารถทนต่อกลิ่นเหม็นอันรุนแรงของมันได้ ผลมีขนาดเท่าผลแตง มีหนามอยู่โดยรอบ ดูๆไปก็คล้ายกับขนุนเหมือนกัน มีเมล็ดมาก แต่เมล็ดใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้กิน ภายในยังมีอีกเมล็ดหนึ่ง ถือกันว่ายิ่งมีเมล็ดในยิ่งน้อยยิ่งเป็นทูลเรียนดี อย่างไรก็ตามในผลหนึ่งๆไม่เคยปรากฏว่ามีน้อยกว่า 3 เมล็ดเลย” จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า มีการปลูกทุเรียนในภาคกลางของประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่จะเข้ามาจากที่ไหน โดยวิธีใด ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่น่าเชื่อว่า จะเข้ามาทางภาคใต้ของไทย

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ได้กล่าวถึงการแพร่กระจายของพันธุ์ทุเรียนจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มายังกรุงเทพฯ ตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ. 2318 และมีการทำสวนทุเรียนจังหวัดนนทบุรี ในตำบลบางกร่าง ในคลองบางกอกน้อยตอนใน ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2397 ในระยะแรกเป็นการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และพัฒนามาเป็นการปลูกด้วยกิ่งตอน จากพันธุ์ดี 3 พันธุ์ คือ อีบาตร ทองสุก และการะเกด

การทำสวนทุเรียนนนทบุรีนั้นนิยมทำกันแบบยกร่องเพราะเป็นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ลำคลอง ในตอนบนที่ดินที่น้ำท่วมไม่ค่อยถึงก็นิยมทำนากันเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากน้ำท่วมประเทศไทย ครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2485 ชาวสวนที่ทำสวนทุเรียน ส้มเขียวหวานและ ละมุด ได้รับความเสียหายกันหมด หลังจากน้ำท่วมก็เริ่มมีการปลูกทุเรียนกันอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ชาวสวนหันกลับมาเลือกปลูกทุเรียนพันธุ์ดีกันมากขึ้น จนทำให้กิ่งพันธุ์หายากจึงทำให้การปลูกทุเรียนในยุคนั้นมีการปลูกด้วยเมล็ดทำให้มีการกลายพันธุ์ได้พันธุ์ทั้งดีและไม่ดี

ลำต้น (stem) ทุเรียนเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-24 นิ้ว ความสูงถึง30 เมตร ทุเรียนอายุยืน 80-150 ปี เปลือกแข็งสีเทาแก่เป็นสะเก็ดขรุขะจัดเป็นประเภทไม้เนื้ออ่อนมีลักษณะเหมือนไม้จามจุรี ใช้ทำประโยชน์อะไรไม่ได้โบราณใช้ทำฟื้นหุงต้มเท่านั้น

ใบ (Leaf) ทุเรียนเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ชนิดใบกว้างแบบใบเลี้ยงเดียว ขนาดของใบกว้าง 2-3 นิ้ว ยาว 6-8 นิ้วปลายใบมนแหลมเป็นแบบ Acuminate Apex ไม่มีหูใบ มีก้านใบสีน้ำตาลยาวประมาณ 1 นิ้วแบ่งออกเป็น 2 ตอน ประมาณครึ่งหนึ่งของก้านใบที่ต่อจากใบจะโตกว่าและเรียวเล็กไปจนถึงโคนก้านตอนที่ติดกับกิ่ง บนใบสีเขียวแก่ถึงเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบเป็นสีน้ำตาล เส้นใบทุเรียนสานกัน เป็นร่างแห ลักษณะการติดใบแบบ Alternate Leaver

ราก ทุเรียนเป็นพันธุ์ไม้ที่มีรากหาอาหารกันตามผิวดินจนถึงระดับ 50 เซนติเมตร มีรากพิเศษที่เกิดจากบริเวณโคนต้นอยู่มากมายตามผิวดิน แตกออกมาลักษณะตีนตะขาบเรียกว่า”รากตะขาบ” รากแก้วของทุเรียนทำหน้าที่ยึดลำต้นทุเรียนนนท์ส่วนใหญ่ ไม่มีรากแก้วเพราะปลูกจากกิ่งตอน แต่จะมีรากพิเศษแทนหรือรากแขนงที่แตกจากรากพิเศษที่หยั่งลึกลงไปในดินทำหน้าที่คล้ายรากแก้วและสามารถหยั่งลึกไปถึงระดับน้ำใต้ดินได้ มีรากฝอยเป็นรากหาอาหารออกมาจากรากพิเศษที่ทำหน้าที่ดูดอาหารด้วย

ดอก (Flower) มีลักษณะคล้ายระฆัง มีส่วนของดอกครบถ้วนและเป็นดอกสมบูรณ์ (Perfect flower) หมายถึงว่า มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดี่ยวกัน มีรังไข่อยู่เหนือส่วนอื่นของดอกแต่ละดอกประกอบด้วย กลีบเลี้ยงอยู่ชั้นนอกสุดมีสีเขียวอมน้ำตาล หุ้มดอกไว้มิดชิดโดยไม่มีการแบ่งกลีบแต่เมื่อดอกใกล้แย้มจึงแยกออกเป็นสองหรือสามกลีบ กลีบรองลักษณะคล้ายหม้อตาลโตนดอยู่ถัดเข้าไปจากกลีบเลี้ยง กลีบดอกสีขาวนวลมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้มี 5 ชุด ประกอบด้วยก้านเกสร5-8 อัน ทุเรียนมักออกดอกเป็นช่อๆหนึ่งมีตั้งแต่1-30 ดอก ดอกมักอยู่รวมกันเป็นพวงๆมี 1-8 ดอก

ผลของทุเรียน มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตรความยาวอยู่ที่ลักษณะของทุเรียน โดยปกติทุเรียนนนท์จะมี 5 พลูต่อผลเนื้อของทุเรียนมีความสำคัญมากจากความสมบูรณ์ของแต่ละสวน ธาตุอาหารในดินการสะสมอาหารของทุเรียนในแต่ละสวน บ้างสีเหลือง สีจำปาหรือเนื้อสีเหลืองอ่อนขึ้นอยู่กับสภาพของดินและพันธุ์ของทุเรียนด้วยเช่นกัน

ทุเรียนนนท์ ไม่เหมือนทุเรียนจังหวัดอื่นๆ เพราะนนทบุรี มีการปลูกทุเรียนที่มาตั้งแต่โบราณตามคำบอกเล่า เดิมพื้นที่เป็นป่าดิบชื้นลุ่มแม่น้ำพื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวอุ้มน้ำทำให้ดินได้สะสมธาตุอาหารที่พืชต้องการไว้ในดินบวกกับภูมิปัญญาของชาวสวนที่มีการถ่ายทอดการทำสวนเทคนิคต่างๆ การทำสวนแบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นที่กล่าวขานกันในยุโรปหรืออเมริกาแต่บรรพบุรุษของชาวนนท์ได้ทำกันมาเป็นร้อยปีแล้ว การเกิดของทุเรียนนนท์ในอดีตเท่าที่ฟังปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่า”เกิดมาก็เห็นเมืองนนท์มีทุเรียนเป็นร้อยพันธุ์แล้ว” แต่ละท้องถิ่นก็เรียกชื่อต่างกันเช่น เรียกตามลักษณะผลตามลักษณะของแม่พันธุ์บ้าง สถานที่เกิดของพันธุ์ ชื่อเดิมผสมกับผู้เพาะ จากการศึกษาพบว่ามีพันธุ์ทุเรียนที่เกิดในนนทบุรีมากกว่า 200 พันธุ์ แต่ในปัจจุบันเหลือไม่กี่พันธุ์ ในการปลูกทุเรียนหลังจากน้ำท่วม พ.ศ.2538 มีการปลูกทุเรียนเพียงสามพันธุ์เช่น หมอนทอง ก้านยาว ชะนี เป็นส่วนใหญ่ เป็นทุเรียนที่มีผลทางเศรษฐกิจ ราคาดี เก็บรักษาง่ายและที่สำคัญขายก็คล่อง

สถานที่ตั้ง
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี
จังหวัด นนทบุรี
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
https://www.duriannon.com/13771276
บุคคลอ้างอิง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด นนทบุรี อีเมล์ nontculture@gmail.com
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี
จังหวัด นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000
โทรศัพท์ 02 580 1348 โทรสาร 02 580 2764
เว็บไซต์ www.m-culture.go.th/nonthaburi
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่