ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
วัดป่าลิไลยก์ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดป่า เป็นวัดโบราณวัดหนึ่งในจังหวัดพัทลุง ตามทำเนียบวัดจังหวัดพัทลุงของพระครูอริยสังวร (เอียด) ระบุว่าวัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๒๔๗ ตรงกับสมัยสมเด็จพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่เรื่องราวเกี่ยวกับวัดไม่ปรากฏในเอกสารโบราณใดๆ ต่อมาเมื่อราว พ.ศ.๒๓๒๕ พระมหาช่วย ชาวบ้านน้ำเดือด ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง ได้เป็นเจ้าอาวาส ราว พ.ศ.๒๓๒๘ พม่าได้ยกทัพมาตีเมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช ทางฝ่ายเมืองพัทลุง พระมหาช่วยได้ทำเครื่องรางของขลังแจกไพร่พล กรรมการเมือง รวบรวมกำลังไว้ได้ประมา ๑,๐๐๐คน ยกไปต้านพม่าที่ตำบลปันแต แต่ไม่ทันรบกัน พม่าก็ถอยทัพเสียก่อน พระมหาช่วย
มีความชอบเป็นอย่างมากจึงโปรดเกล้า ฯ ให้ลาสิกขาบทและแต่งตั้งให้เป็นพระยา
ทุกขราษฎร์ ต่อมาได้เกณฑ์คนตัดไม้ต่อเรือรบ ๓๐ ลำ ปากกว้าง ๓วาบ้าง ๔วาบ้าง โดยทำการต่อเรือที่ชายทะเลหน้าวัดป่าลิไลยก์ แต่เรือยังไม่ทันเสร็จก็ติดราชการกบฏเมืองไทรบุรีเสียก่อน การต่อเรือจึงยกเลิกไป จากคำบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติวัดป่าลิไลยก์ กล่าวว่า ที่ดินที่สร้างวัดป่าลิไลยก์ในปัจจุบันเป็นที่ของตาผ้าขาวได้บริจาคให้แก่พระสมุหมีอินทร์ ที่ตั้งใจจะนำของโบราณมาบรรจุที่พระบรมมหาธาตุนครศรีธรรมราช
แต่ไม่ทันพิธีการ จึงได้จอดเรือพักและสร้างวัดป่าลิไลยก์ขึ้นมา เดิมวัดนี้เรียกว่า วัดป่าชัน ต่อมาเรียกว่า วัดป่าเรไร และเปลี่ยนเป็นวัดป่าลิไลยก์ในปัจจุบัน
จุดเด่น
วัดป่าลิไลก์มี อุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน ซุ้มประตูกำแพงแก้วอยู่ทางทิศตะวันออก ๑ ซุ้ม อุโบสถมีทางเข้า ๒ประตู ระหว่างประตูทั้งสองมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางเลไลยก์ ด้านข้างมีลิงและช้างหมอบ อุโบสถเจาะฝาผนังเป็นช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านละ ๒ช่อง ภายในมีพระประธานและพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย จำนวน ๔ องค์ ฝีมือช่างพื้นเมือง ใบเสมา เป็นหินทรายสีแดงตั้งอยู่บนฐานก่ออิฐถือปูนรอบอุโบสถ จำนวน ๘ ใบ บางใบสภาพชำรุด แต่ละใบมีลวดลายจำหลักไม่เหมือนกัน คือ สลักลายกนกก้านขด บางแผ่นสลักลายหน้ากาลลักษณะประณีตสวยงาม จากรูปแบบศิลปกรรมน่าจะเป็นลวดลายที่สลักขึ้นราวสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น และมีเจดีย์ ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้วหน้าอุโบสถ เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ ๒ เมตร สูงประมาณ ๖เมตร รอบฐานมียักษ์ปูนปั้นแบกด้านละ ๕ ตน รูปยักษ์ด้านทิศตะวันออกหักพังลงหมดแล้ว มีซุ้มพระพุทธรูปลดหลั่นกันด้านละ ๒ซุ้ม องค์ระฆังแบบสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีฐานสิงห์รองรับอีกชั้นหนึ่ง มีลวดลายปูนปั้นรูปบัวหงาย รูปกนกและลายดอกไม้ประดับทั้งองค์ ยอดเจดีย์เป็นบัวกลุ่มเถา ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น องค์เจดีย์ได้รับการบูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖