โคม
โคม หมายถึงเครื่องตามไฟมีที่กําบังลมโปร่งแสง เช่น กระจก กระดาษ อาจทำเป็นรูปป้อมกลม หรือรูปทรงอื่น ใช้หิ้วหรือแขวนตามที่ต่าง ๆ เพื่อให้แสงสว่าง หรือใช้เป็นเครื่องบูชาสิ่งที่เคารพนับถือ เช่น ตั้งโคมไว้หน้าพระพุทธรูป เป็นพุทธบูชา แขวนไว้ตามศาสนสถานในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ปักหรือแขวนโคมตามสถานที่ต่าง ๆ ในวันสำคัญตามประเพณีของท้องถิ่น โคมมักทำเป็นเครื่องครอบดวงไฟหรือประทีปที่จุดไว้ภายใน ตัวโคมอาจทำด้วยแก้ว หรือวัสดุโปร่งแสงอื่น ๆ ได้แก่ กระดาษแก้ว ผ้า ไม้ไผ่ สาน หนัง โลหะ และดินเผา ในภาคเหนือนิยมทำโคมโดยใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นโครงให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ กัน เช่น ดาว ดอกบัว หรือรูปทรงอื่น ๆ ใช้กระดาษแก้วซึ่งหุ้มโครงไม้ไผ่ กระดาษจะเป็นเครื่องกําบังลมที่แสงสว่างส่องผ่านออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ ตามสีของกระดาษแก้วที่นํามาทำโคมกระดาษ นิยมจุดประดับตกแต่งตามวัดวาอาราม และอาคารบ้านเรือนในวันสำคัญทางพุทธศาสนา และปัจจุบันยังเป็นที่นิยมอยู่ทั่วไป
คำว่าโคมปรากฏในตำนานสุวรรณโคมคำ สมัยก่อนยุคล้านนา หรือก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 โดยกล่าวถึง “โคมคำ” คือ โคมที่จุดประทีปไว้ภายในจนเห็นแสงสีทองส่องออกมา เพื่อเป็นพุทธบูชา และมีการทำสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
โคมดาวประยุกต์ของคุณอุทุมพร นารัตนไวฑูลย์ เกิดจากการสังเกตโคมดาวประยุกต์ของบ้านเมืองสาตร จังหวัดเชียงใหม่ โดยอาศัยความสนใจทางด้านงานหัตถศิลป์ที่เป็นทุนเดิมจากวัยเด็ก ซึ่งสมัยก่อนมักจะเห็นผู้เฒ่าผู้แก่รวมตัวกันที่วัดทำโคมดาวชนิดที่ใช้กระดาษแก้วหลากสี ประกอบกับการได้เข้ารับการอบรมทำโคมรังมดส้มจากอาจารย์นภดล คำมูล บ้านเมืองสาตร ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงได้เกิดการเรียนรู้โครงสร้างของโคมดาวเพิ่มเติมจากวัยเด็ก โดยคุณอุทุมพรยังได้สร้างเอกลักษณ์ที่เกิดจากการสังเกตปัญหาของโคมดาวที่มักจะมีนกเข้าไปทำรังอยู่ด้านในได้ ซึ่งเกิดจากส่วนบนของโคมดาวจะเว้นช่องไว้สำหรับใส่ประทีป และหลอดไฟ คุณอุทุมพรจึงได้คิดการทำ “ประตูดาว” ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้นกเข้าไปทำรังในโคมได้ และยังสามารถที่จะเปิดปิดใส่ประทีปและหลอดไฟได้อีกด้วย