ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 13° 33' 56.2842"
13.5656345
ลองจิจูด (แวง) : E 100° 18' 45.3701"
100.3126028
เลขที่ : 198455
โบราณสถานแหล่งเรือจมบ้านขอม
เสนอโดย สมุทรสาคร วันที่ 28 ตุลาคม 2567
อนุมัติโดย สมุทรสาคร วันที่ 28 ตุลาคม 2567
จังหวัด : สมุทรสาคร
0 409
รายละเอียด

แหล่งเรือจมบ้านขอม

ที่ตั้ง : บ้านขอม ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

พิกัดภูมิศาสตร์ : รุ้ง ๑๓ องศา ๓๓ ลิปดา ๔๐ ฟิลิปดา เหนือ แวง ๑๐๐ องศา ๑๙ ลิปดา ๒๑ ฟิลิปดา ตะวันออก

พิกัดกริด ๕๐๓๖II PPR ๔๓๐๙๙๕ (แผนที่ทหารลำคับชุด L ๗๐๑๘ ระวาง ๕๐๓๖ll พิมพ์ครั้งที่ ๑-RTSD มาตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐)

พิกัด UTM Zone ๔๗ P, E ๖๔๓,๐๙๖, N ๑,๔๙๙, ๕๗๕

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง : จากตัวเมืองจังหวัดสมุทรสาครใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๕ (ถนนพระราม ๒) ไปทางธนบุรีใช้ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เลี้ยวขวาใช้ถนนข้างวัดพันท้ายนรสิงห์เข้าไประยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตรแหล่งโบราณคดีจะตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ

ลักษณะภูมิประเทศ : บริเวณแหล่งเรือจมเป็นที่ราบลุ่มมีน้ำท่วมถึง ทางด้านทิศตะวันตกของแหล่งห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นที่ตั้งของคลองพระรามซึ่งเป็นเส้นทางน้ำเชื่อมต่อกับคลองมหาชัย

ประวัติ : สาเหตุที่พบเรือเนื่องจาก เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ชาวบ้านได้ใช้รถขุดตักดินเพื่อจะทำบ่อเลี้ยงกุ้ง บริเวณที่ดินของนายเสน่ห์ หมีเงิน และนายไพโรจน์ ยิ้มดี จึงได้พบเรือไม้จมดินอยู่ โดยหัวเรือทิ่มลงลึกจากผิวดินประมาณ ๓ เมตร ส่วนท้ายเรือลึกจากผิวตินลงไปประมาณ ๑.๕ เมตร

หลักฐานทางด้านโบราณคดี :เรือขุดโบราณลักษณะเป็นเรือขุดจากไม้เนื้อแข็ง ประเภท ไม้ตะเคียนความยาวของลำเรือประมาณ ๒๔ เมตร ความกว้างสุดบริเวณกลางลำเรือ ๒.๕๐ เมตร และความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ ๑๐-๑๒ เซนติเมตร กราบเรือด้านซ้ายหายไปเกือบทั้งแถบ ลักษณะของการต่อเรือลำนี้แสดงถึงเทคโนโลยีโบราณ ได้แก่ ภายหลังจากการขุดและขยายความกว้างของเรือให้แบะออกโดยการใช้ไฟสุ่มแล้ว มีการต่อกาบของเรือสูงเพิ่มขึ้นอีกโดยหลักฐานที่พบได้แก่ รูซึ่งเจาะอยู่บริเวณกราบเรือ เจาะทะลุทแยงออกทาง ด้านข้าง ๒ รู สลับกับรูที่เจาะลงไปแต่ไม่ทะลุหนึ่งรู รูที่กราบเรือนี้ มีไว้สำหรับ ร้อยเชือกและใส่สลักหรือลิ่ม เพื่อยืดกราบเรือที่ต่อเสริมให้แน่น วิธีดังกล่าวนี้เป็นเทคนิคของนักเดินเรือชาวอาหรับโบราณที่พบอยู่ในแถบสุมาตรา-อินโดนีเซีย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖

ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเป็นโบราณวัตถุจำนวนมากที่พบอยู่บนลำเรือ ซึ่งสามารถจำแนกประเภทได้ ดังนี้

• หม้อมีสัน(carinated pots) พบเป็นจำนวนมากที่สุดในจำนวน

ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาที่พบร่วมกันทั้งหมด ลักษณะเป็นหม้อกันกลม

ปากบานออก มีสันที่ไหล่ สภาพชำรุดแตกออกเป็นชิ้นๆ ปากมีขนาด

เส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ ๒๖-๒๙ เซนติเมตร หนา ๐.๔-๐.๖

เซนติเมตร เนื้อดินหยาบ (Earthenware) แต่มีความแกร่งมีส่วนผสม

ของทรายละเอียด บริเวณผิวหม้อปรากฏจุดสีขาวๆของซิลิก้าอยู่ประปรายหม้อมีสันที่พบทั้งหมดใช้วิธีการขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน (wheel throwing)

โดยพบร่องรอยเป็นริ้วที่เกิดจากแป้นหมุนด้านในของหม้อ สีผิวไม่สม่ำเสมอกันทั้งใบ ด้านนอกจะมีทั้งที่เป็นสีขาวนวล เทา น้ำตาลและคำ ด้านในเป็นสีเทาอ่อนและสีเทาแก่ สีของเนื้อดินไส้กลางค่อนข้างสม่ำเสมอกัน บริเวณผิวหม้อมีการขัดมัน หม้อที่ได้รับการขัดผิว ส่วนใหญ่จะมีสีน้ำตาลและดำ

โดยแบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ

๑. ขัดมันทั้งใบ

๒. ขัดมันเฉพาะช่วงคอ และบ่า ซึ่งอยู่เหนือสันขึ้นไป

๓. ขัดมันเฉพาะส่วนลำตัว

การตกแต่งหม้อมีสันที่พบจากเรือบ้านขอมนี้ทำเป็นสันนูนจำนวน ๒ เส้นบริเวณบ่าภาชนะลักษณะของสันหม้อแบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ แบบที่ยื่นออกมาเป็นจงอย ซึ่งพบเป็นจำนวนมากและแบบที่มีการตกแต่ง ที่สันบนสุด ด้วยการใช้เครื่องมือปลายแหลมกดเป็นแถวรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ

พบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภาชนะดินเผาประเภทหม้อมีสันนี้ ในประเทศไทยพบหลักฐานปรากฏ ว่ามีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีการขุดค้นพบที่บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี และเป็นรูปแบบหม้อที่แพร่หลายมากในชุมชนสมัยทวารวดีจากการสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีจะพบหม้อมีสัน ทุกแห่งและเสื่อมความนิยมไปหลังสมัยทวารวดี

• หม้อกันกลม(globular pot) เป็นรูปแบบภาชนะที่เป็นเทคนิคโบราณเพื่อประโยชน์ในการหุงหาอาหาร พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์

ที่มนุษย์เริ่มทำภาชนะดินเผาใช้และพบมากขึ้นในสมัยทวารวดี นอกจากนั้น ยังสืบเนื่องมาจนถึงสมัยอยุธยา แต่ได้พัฒนาเทคนิคและวิธีการมากขึ้นหม้อกันกลมที่พบจากเรือบ้านขอมนี้พบเฉพาะชิ้นส่วนปากและลำตัวบางส่วน ซึ่งพอที่จะสันนิษฐานรูปทรงได้ โดยแบ่งออกเป็น

• หม้อกันกลม ปากบานออกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางปาก ๑๘ เซนติเมตรหนาประมาณ ๐.๗ เซนติเมตร เนื้อดินหยาบหนาและแกร่ง ใช้วิธีขึ้นรูป ด้วยแป้งหมุน ภายในมีร่องรอยของการใช้หัวแม่มือกดสำหรับขึ้นรูปสีผิว

ไม่สม่ำเสมอทั่วกันทั้งใบโดยจะมีสีเทา น้ำตาลและดำ ตั้งแต่ส่วนไหล่ลงไป ถึงก้นตกแต่งด้วยลายเครื่องจักสาน บางใบมีการตกแต่งลายกดด้วยรอย

นิ้วมือ (Finger impression) เป็นแถวคล้ายลูกคลื่น

• หม้อกันกลมขนาดใหญ่พบเฉพาะส่วนของลำตัวด้านล่าง ขนาดเส้นผ่าน

ศูนย์กลางประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร หนา ๑.๒ เซนติเมตร เนื้อดิน

หยาบหนา สุกไม่เท่ากันไส้ในจะเป็นสีดำรอบนอกเป็นสีขาวนวล เนื่องจากกรรมวิธีการเผาใช้อุณหภูมิสูงไม่มากนัก ผิวด้านนอกค่อนข้างเรียบด้านใน

มีร่องรอยของการใช้หินดุในการขึ้นรูป บริเวณกันมีการกดประทับเป็นรอย ตื้นๆ ที่เกิดจากการใช้แผ่นไม้ที่มีลายเป็นร่องสี่เหลี่ยมตีเบาๆ เพื่อป้องกันการลื่น มีร่องรอยของการใช้งานโดยการตั้งบนเตาไฟทำให้เนื้อดินเป็นรูป ค่อนข้างกลมสีดำ

• หม้อกุณฑี(kendi) หม้อน้ำมีพวยทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง

ประมาณ ๒๘ เซนติเมตรกันแบนมีเชิงเตี้ยๆ คอสูงปากผายคล้ายปาก

แจกัน มีพวยขนาดเล็กติดอยู่ที่บ่าภาชนะ เนื้อดินค่อนข้างละเอียด ผิวเรียบสีน้ำตาลเทา ด้านในมีรอยริ้วเล็กๆ ที่เกิดจากการขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน บริเวณบ่าโดยรอบมีการตกแต่งโดยการเซาะเป็นร่องรูปวงแหวน

ขนานกันจำนวน ๓ เส้น

รูปแบบของหม้อน้ำมีพวยแบบหม้อกุณฑีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ซึ่งใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและใช้ในพิธีกรรม หม้อกุณฑีที่พบจากเรือ บ้านขอมนี้ สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะที่ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันเนื่องจากมีขนาดค่อนข้างใหญ่

• ไห(Jars) ไหเป็นภาชนะที่ใช้ในครัวเรือบ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะ

ที่ใช้กับแพร่หลายโดยทั่วไปในแหล่งโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์

กึ่งก่อนประวัติศาสตร์ทั้งในเอเชีย และเอเชียอาคเนย์ โดยแบ่งออกได้

เป็น ๒ ประเภท คือ แบบที่ใช้ในชีวิตประจำวัน กับแบบที่ใช้ในโอกาสพิเศษหรือที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรม โบราณวัตถุที่พบจากเรือบ้านขอมพบชิ้นส่วนของไหซึ่งมีสภาพชำรุดจำนวนหนึ่ง สามารถจำแนกรูปทรงออกได้เป็น

• ไหเนื้อดินหยาบหนามีเม็ดทรายขนาดค่อนข้างใหญ่ปะปนอยู่

ลักษณะเป็นภาชนะคอสูงปากผาย ปากมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง

ประมาณ ๑๕-๒๐ เซนติเมตร หนา ๑-๑.๒ เซนติเมตร ผิวเรียบมีการ

ตกแต่ง ๒ ลักษณะ คือ แบบที่หนึ่งมีลายกดประทับด้วยนิ้วมือเป็นลาย

ลูกคลื่นที่ส่วนคอ ถัดลงมาเป็นลายกดประทับโดยใช้แผ่นไม้ที่มีลายเป็นร่องสี่เหลี่ยมตีเบาๆ ให้เกิดลาคลาย แบบที่สองจะมีเส้นวงแหวนนูน ที่คอ

๑ เส้นถัดลงไปเป็นลายกดประทับด้วยไม้ลาย สีผิวของภาชนะเป็น

สีน้ำตาลและดำโดยสีจะไม่สม่ำเสมอกันทั่วทั้ง ลักษณะเป็นไหที่ใช้กัน

ในชีวิตประจำวัน

• ไหเนื้อดินหยาบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางปากประมาณ ๒๓ เซนติเมตร หนา ๑.๔ เซนติเมตร ปากบานออกผิวด้านนอกสีส้มบริเวณบ่ามีการตกแต่งเป็นลายเส้นและลายลูกคลื่นโดยรอบลายลูกคลื่นประกอบด้วยลายเส้น ๓ เส้น เป็นลวดลายที่เลียนแบบจากธรรมชาติ ไหที่พบนี้เป็นภาชนะที่ใช้ในโอกาสพิเศษ หรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากมีการตกแต่งลวดลายเป็นพิเศษมากกว่าไหที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

• หม้อมีเชิงเตี้ยหม้อทรงกลมมีเชิงเตี้ย ปากบานออกเล็กน้อย ขอบปาก ด้านในมีการขูดเป็นร่องรูปวงแหวนโดยรอบจำนวน ๑ เส้น ขนาด

เส้นผ่านศูนย์กลาง ๓๕-๔๐ เซนติเมตร หนา ๒.๕ เซนติเมตร

เนื้อดินหยาบหนาไส้ในเป็นสีดำ ผิวหม้อสีไม่สม่ำเสมอกันโดยจะมีทั้งสี

ขาวนวล น้ำตาลและดำ ส่วนปากและไหล่ผิวเรียบ ส่วนลำตัวและใต้ฐาน

มีการตกแต่งด้วยลายขูดขีด ค้านในมีร่องรอยของการใช้หินดุในการขึ้นรูป

• จานหรือชามเป็นรูปแบบของภาชนะที่ใช้ในครัวเรือน ลักษณะทรงกลมขอบปากตรง กันค่อนข้างตื้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ

๑๗ เซนติเมตร หนา ๐.๕-๑ เซนติเมตร และสูงประมาณ ๖.๗ เซนติเมตร

ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน เนื้อดินค่อนข้างหยาบ สีของเนื้อดินไส้กลางค่อนข้าง

สม่ำเสมอ ผิวด้านนอกขรุขระสีน้ำตาลดำ ค้าบในเรียบบริเวณไหล่ด้านนอก มีการเซาะร่องเป็นรูป่วงแหวนโดยรอบภาชนะจำนวน ๑ เส้น

จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าภาชนะดินเผาที่พบจากเรือบ้านขอม มีรูปแบบคล้ายกับภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖) ซึ่งมีเอกลักษณ์เด่นๆ ที่เป็นข้อสังเกตรูปแบบของภาชนะสมัยทวารวดี คือ ภาชนะประเภทหม้อมีสันและภาชนะมีพวย ภาชนะที่พบ

ส่วนใหญ่เป็นภาชนะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งพบโดยทั่วไปจากการสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีในประเทศไทย เช่น ที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี บ้านคูเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์เป็นต้น ลักษณะของภาชนะจะเป็นประเภทเนื้อดิน (earthenware)

หยาบแต่แกร่ง ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุนและหินดุ สีผิวมีตั้งแต่สีส้ม เทา น้ำตาลและคำ โดยสีของภาชนะในแต่ละใบจะไม่สมำเสมอกันตลอดทั้งใบ และไส้ในจะมีสีแตกต่างกันเนื่องจากกรรมวิธีในการเผาใช้วิธีการเผากลางแจ้ง ทำให้ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ อุณหภูมิที่ใช้ในการเผาสูงไม่มากนักไม่เกิน

๑,๑๐๐ องศาเซลเซียส การตกแต่งภาชนะมีการตกแต่งด้วยลายกดประทับ ด้วยรอยนิ้วมือหรือเครื่องจักสาน และลายขูดขีดเป็นลายลูกคลื่น ซึ่งเป็นลวดลายที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติ

บริเวณที่พบเรือปัจจุบันอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ

๘ กิโลเมตร เดิมในสมัยทวารวดีประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น บริเวณนี้คงเป็นทะเลมาก่อน เรือที่พบคงเป็นเรือที่ใช้ในการติดต่อคมนาคมบริเวณใกล้ชายฝั่งและจมลงด้วยอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะชิ้นส่วนภาชนะดินเผาปริมาณค่อนข้างมากอยู่ภายในเรือ ต่อมาจึงถูกตะกอนที่น้ำพัดพามาทับถม กันจนกลายเป็นพื้นดินในที่สุด การคมนาคมติดต่อกันทางน้ำเป็นที่นิยมมากในสมัยโบราณ และเมืองโบราณที่สำคัญมักจะตั้งอยู่ติดกับเส้นทางน้ำในสมัยทวารวดีมีเมืองโบราณหลายเมืองที่ตั้งอยู่ในแถบดินแดนภาคกลางนี้ได้แก่ เมืองนครปฐม เมืองอู่ทอง เมืองคูบัว ฯลฯ ซึ่งมีเส้นทางน้ำที่สำคัญได้แก่ แม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำท่าจีนเชื่อมโยงชุมชนเหล่านี้ไว้ด้วยกันนอกจากนั้นบริเวณที่พบเรือจม คือ บ้านขอม ยังเป็นชุมชนโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมคลองมหาชัย ปรากฏชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ในโคลงกำสรวลสมุทร ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) สมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวถึงชาวบ้านขอมว่ามีอาชีพตัดหวาย ส่วนในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ กล่าวว่า ชาวบ้านขอมนี้มีอาชีพตัดไม้ทำฟืนขาย

การกำหนดอายุสมัย : สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒)

การประกาศขึ้นทะเบียน : ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน

ประเภทของโบราณสถาน : แหล่งเรือจม

หมวดหมู่
แหล่งโบราณคดี
สถานที่ตั้ง
บ้านขอม ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง
ตำบล โคกขาม อำเภอ เมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
บุคคลอ้างอิง สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดสมุทรสาคร อีเมล์ culture.skn@gmail.com
ตำบล มหาชัย อำเภอ เมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่