หมอนไม้ เป็นของใช้พื้นบ้านสำหรับหนุนนอนของคนแก่เฒ่าที่ไปถือศีลภาวนาในวันพระ ซึ่งในช่วงเข้าพรรษาชาวบ้านทุกถิ่นในชนบท โดยเฉพาะคนสูงอายุจะไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านทุก ๆ วันพระ ระยะนี้พระภิกษุสามเณรต่างจำศีลภาวนาในวันเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน ชาวบ้านบางคนก็ลด ละ เลิก ในสิ่งที่ ประพฤติผิดในระหว่างเข้าพรรษา เช่นไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน เป็นต้น ในวันพระจะมาทำบุญ สวดมนต์ตั้งแต่เช้าจนเย็นโดยมิได้ขาดแม้แต่วันพระเดียว การที่ผู้เฒ่าผู้แก่มาทำบุญรักษาศีลต้องอยู่บนศาลา หรือในอุโบสถตลอดวัน จึงมีความ จำเป็นต้องหยุดพักผ่อนหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว เวลาพักผ่อนส่วนใหญ่เป็นช่วงหลังเพลไปแล้ว ชาวบ้านมีความเชื่อถือว่าการรักษาศีลที่วัด ควรละในสิ่งที่เป็นกิเลสจากความสะดวกสบายต่าง ๆ แม้แต่หมอนที่หนุนนอนก็ไม่ควรอ่อนนุ่ม ดังนั้นจึงมีการทำหมอนไม้ไว้สำหรับหนุนนอน เมื่อไปรักษาศีลภาวนาในวันพระ หมอนไม้เป็นแผ่นเดียวรักษาง่าย ทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้มะค่า ไม้ประดู่ หรืออาจใช้ไม้สักทำก็ได้
วิธีการทำจะตัดไม้แผ่น ๆ ที่เลื่อยไว้แล้วมีความหนา ๓-๕ เซนติเมตร มีความกว้าง ๑๐-๑๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐- ๒๕ เซนติเมตร ใช้กบไสแผ่นไม้ทั้ง ๒ ให้เรียบ เครื่องมือใช้ทำหมอนไม้คือ สิ่ว ค้อน และเลื่อย ผ่าแผ่นไม้หรือชาวบ้านเรียกว่า “จักไม้” ด้วยเลื่อยทั้ง ๒ ข้าง ให้เป็นไม้ ๒ แผ่น การผ่าไม้จะผ่าไม่ตลอดเหลือตรงกลางแผ่นไว้ประมาณ ๒ นิ้ว จากนั้นใช้สิ่วเจาะไม่ให้เป็นเดือยขัดกันประมาณ ๕-๖ เดือย เจาะสลับกันไปแต่ละเดือย โดยเจาะสลับกันในแต่ละด้านของแผ่นไม้ด้วย การเจาะเดือยไม้จะเจาะไปถึงไม้ที่ผ่าซีกด้วยเลื่อยนั้น เมื่อเจาะเดือยทั้ง ๒ ด้านของแผ่นไม้ แผ่นไม้แยกออกเป็น ๒ แผ่น และยึดติดกันด้วยเดือยที่เจาะ เวลาใช้ให้ตั้งแผ่นไม้ให้ขัดกันเหมือนรูปกากบาท ขัดผิวไว้ด้วยกระดาษทรายให้เรียบ สมัยก่อนใช้หนังปลากระเบนขัดไม้ เวลาเก็บสามารถพับให้เรียบเหมือนเป็นไม้แผ่นเดียวได้การใช้หมอนไม้คนแก่เฒ่ามักใช้สไบ หรือผ้าขาวม้ารองที่หมอนไม้ก่อนที่จะหนุนนอน จะได้ไม่เจ็บนอนสะดวก นอกจากใช้หมุนศีรษะ ยังใช้เป็นที่วางหนังสืออ่านได้อีกด้วย