โรงเรียนประชาบาลแผนกสตรี ตำบลบางปรอก โรงเรียนสตรีแห่งแรก ในจังหวัดปทุมธานี
ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ การจัดการศึกษาของ
ประเทศไทยในสมัยนั้น(พ.ศ.๒๔๕๓ – ๒๔๖๘) ได้มีการประกาศใช้แผนการจัดการศึกษา “โครงการการศึกษา พ.ศ.๒๔๕๖” คือ ต้องสอนให้พลเมืองมีความรู้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพของตน คือ การศึกษาหาเลี้ยงชีพ ได้แก่ การศึกษาฝ่ายหัตถกรรม กสิกรรม พาณิชยกรรม การแพทย์ การครู และเสมียนเอก โครงการศึกษาของชาติปี พ.ศ.๒๔๕๖ แบ่งการศึกษาเป็น ๓ ขั้น คือ
-ประถม ๕ ขั้น เรียนวิชาสามัญ ๓ ปี เรียนวิชาชีพ ๒ ปี
-มัธยม ๘ ขั้น ม.๑ – ๓ ม.ต้น, ม.๔ – ๖ ม.กลาง, ม.๗- ๘ ม.ปลาย
-อุดมศึกษาแบ่งเป็น สามัญ ให้ศึกษาวิชาสามัญโรงเรียนอยู่ตามมณฑล, วิสามัญ ศึกษา
เฉพาะอย่างเช่น การเพาะปลูก การช่าง แพทย์ ปกครอง กฎหมาย ครู
ประเภทโรงเรียน แบ่งเป็น
โรงเรียนประจำมณฑลมี ๑๗ มณฑล (จังหวัดปทุมธานีอยู่ในมณฑลอยุธยา) โรงเรียนประจำจังหวัด โรงเรียนประจำอำเภอ
โรงเรียนประชาบาล คือ โรงเรียนที่ราษฎร์บำรุง มีนายอำเภอ ศึกษาธิการอำเภอ ศึกษาธิการ
จังหวัดดูแลตั้งตำบลละ ๑ โรง
และในสมัยรัชกาลที่ ๖ นี้เอง มีการประกาศพระราชบัญญัติการศึกษา ๒ ฉบับ ที่สำคัญอันเป็นรากฐานทางการศึกษามาจนถึงปัจจุบัน คือ
พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ.๒๔๖๑ สมัยนั้นเรียกว่า โรงเรียนบุคคล หรือ
โรงเรียนเชลยศักดิ์ ดำเนินการสอนตามอำเภอใจมิได้อยู่ในความควบคุมของทางการ ดังนั้น ประกาศฉบับนี้จึงกำหนดให้โรงเรียนราษฎร์ทุกแห่งต้องจดทะเบียนปฏิบัติตามแผนการจัดการศึกษาของชาติ และปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.๒๔๖๔ มีความสำคัญที่สุดต่อการศึกษาของชาติไทย
ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๖๔ สาระสำคัญของพระราชบัญญัตินี้คือ บังคับให้เด็กทุกคนไม่เลือกเพศ ศาสนาใด ที่มีอายุตั้งแต่ ๗ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ต้องเข้าเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนถึงอายุ ๑๔ ปีบริบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หากฝ่าฝืนบิดามารดา หรือผู้ปกครองต้องมีโทษปรับ นับเป็นการเริ่มต้นจัดการศึกษาภาคบังคับขึ้นเป็นครั้งแรกในสยาม
ผลของการประกาศใช้การศึกษาภาคบังคับในระดับประถมศึกษาทั่วประเทศก็คือ ทำให้เกิดโรงเรียนประเภทใหม่ขึ้นมา คือ “โรงเรียนประชาบาล” เพิ่มมาจากโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนประชาบาลคือ โรงเรียนที่ประชาชนในท้องถิ่นจัดตั้งขึ้น และดำรงอยู่ด้วยทุนทรัพย์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น เป็นโรงเรียนในระดับประถมศึกษา เงินค่าใช้จ่ายได้มาจากเงิน “ศึกษาพลี” ซึ่งเรียกเก็บจากประชาชนเป็นรายปี นอกจากนี้ ยังอาจได้รับเงินอุดหนุนของกระทรวงธรรมการด้วย โดยเรียกเก็บจากชายที่มีอายุระหว่าง ๑๘-๖๐ ปี ต้องเสียค่าศึกษาพลีไม่ต่ำกว่า ๑ บาท แต่ไม่เกิน ๓ บาท ผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าศึกษาพลีได้แก่ ผู้ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่ได้ พระภิกษุ สามเณร บาทหลวง ทหาร ตำรวจ
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จังหวัดปทุมธานีมีโรงเรียนประชาบาลแผนกสตรี ตำบลบางปรอก ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับสตรีแห่งแรกในจังหวัดปทุมธานี จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๖๖ โดยมีอำมาตย์โท พระยาประทุมธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดประทุนธานี ในสมัยนั้น เป็นหัวหน้าเรี่ยไรเงินจากข้าราชการ พ่อค้า และคหบดีในจังหวัดประทุมธานี ได้เงิน ๒,๐๔๖ บาท ๒๔ สตางค์ สร้างโรงเรียนขึ้นหลังหนึ่งในบริเวณตลาดบางปรอก เป็นทรงปั้นหยา ชั้นเดียว กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๘ เมตร เสาไม้เต็งรัง เครื่องบนพื้นฝาใช้ไม้ตะแบก ประตูหน้าต่างใช้ไม้สัก หลังคามุงจาก สิ้นเงิน ๑,๖๔๕ บาท ๘๙ สตางค์ ยังเหลือเงินอีก ๔๐๐ บาท ๓๕ สตางค์ จัดซื้อเครื่องใช้สอยในโรงเรียน โรงเรียนตั้งอยู่ไม่ห่างจากศาลากลางจังหวัดปทุมธานี อยู่ในบริเวณเกาะเมือง โดยมีคลองวัดโส และคลองวัดหงส์ล้อมรอบเกาะเมืองปทุมธานี
จากการสืบค้นตามหาที่ตั้งโรงเรียนประชาบาลสตรีบางปรอก ได้รับคำยืนยันคุณจุรี วิถีพานิช เจ้าของร้าน “ปุ๊ก” ร้านกาแฟโบราณคู่จังหวัดปทุมธานีว่า โรงเรียนสตรีบางปรอกในอดีต ตั้งอยู่ที่ตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี ที่ขายเนื้อ ขายหมู ขายของชำ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ราชพัสดุ โดยสร้างหลังจากสร้างศาลากลางจังหวัดปทุมธานี(หลังเก่า)เสร็จเรียบร้อยแล้ว ๖ ปี ผู้นำในการสร้างโรงเรียนประชาบาลสตรีบางปรอกคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี “พระยาปทุมธานี(ฟื้น กฤษณะบัตร) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๗-๒๕ ตุลาคม ๒๔๖๗ นับว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงต่อการจัดการศึกษาของจังหวัดปทุมธานี ในครั้งนั้นได้มีผู้ร่วมบริจาคในการจัดตั้งโรงเรียนด้วย อีก ๓ ท่าน คือ
นายอำเภอเมืองปทุมธานี หลวงรามสิทธิศร (พ.ศ.๒๔๖๓-๒๔๖๔) นายอำเภอสามโคก หลวงชำนาญรักษาราษำร์ นายอำเภอลาดหลุมแก้ว หลวงมหาสวัสดิ์ภิบาล
นอกจากนี้ ยังมีประชาชนที่ร่วมบริจาคด้วยอีก ๑๒๖ ราย นับเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์
ตระกูลของผู้บริจาคทรัพย์ อันเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่แก้กุลบุตรกุลธิดาในภายภาคหน้าเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยทำให่ระบบการศึกษาของจังหวัดปทุมธานีรุดหน้าไปเป็นอันมาก