แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าบ้านดอน (อ.เมือ. จ.สุราษฎร์ธานี) เริ่มมีคริสตชนมาตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่เมื่อใด แต่จากหลังฐานเท่าท่ีมีอยู่ทำให้พอเข้าใจได้ว่า คริสตชนท่ีบ้านดอนในชณะนั้นยังเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ไม่มีวัด และพระสงฆ์อยู่ประจำ แต่เมล็ดพันธุ็์แห่งความเชื่อท่ีบรรดามิชชันนารีปลูกฝัง และหล่อเลี้ยงก็ค่อย ๆ ฝังรากลึกลงทีละน้อย นับเป็นเวลาเกือน 25 ปี ท่ีกลุ่มคริสตชนค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นทีละน้อย ๆ ท่ามกลางความยากลำบากในการเผยแพร่ธรรมไม่ว่าจะเป็นทางท่ีกันดาร วัฒนธรรม ภาษาท่ีแตกต่าง แต่ด้วยค้วยความเสียสละอุทิศตนของบรรดามิสชันนารีที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ่งที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ท่ีลงหลักปักฐานอย่างสง่างาม ในบริบทของสังคมและวัฒนธรรมท่ีหลากหลายเดือนตุลาคม ค.ศ.1958 บ้านพักสงฆ์และโรงเรียนหลังแรก(โรงเรียนเทพมิตรศึกษาในปัจจุบัน) พร้อมที่ดินเพื่อสร้างวัดจึงก่อกำเนิดขึ้นด้วยความริเริ่มของพระคุณเจ้า พร้อมกับความประสงค์จากผุ้ร่วมสมทบเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อให้วัดท่ีจะสร้างเป้นการถวายเกียรติแด่อัครเทวดาราฟาเอล จากนั้นในปี ค.ศ.1959 คุณพ่อเฮกเตอร์ ฟรีเยรีโอ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกเพื่อดูแลสัตบุรุษที่บ้านดอนในวันท่ี 24 ตุลาคม ค.ศ.1961 จึงได้มีการวางศิลาฤกษ์สำหรับการสร้างวัดอัครเทวดาราฟาเอล และในปี ค.ศ. 1962 เป็นปีแรกท่ีกลุ่มคริสตชนบ้านดอน มีวัดหลังแรกถวายแด่อัครเทวดราฟาเอล
ในขณะเดียวกันบทบาทของอาสนวิหารราฟาแอลในการเป็นศูนย์กลางงานอภิบาลและการเผยแพร่ธรรมของสังฆมณฑลก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ ท่ีสุดในปี ค.ศ. 1975 อันเป็นปีท่ีพระสังฆราชเปโตร คาเร็ตโต อภิเษกเป็นพระสังราชครบ 25 ปี จึงได้ต่อเติมขยายปีกด้านข้างซ้ายของอาสนวิหารราฟาเอล (หลังเก่า) ออกไปทั้งสองด้าน เพื่อสามารถรองรับจำนวนคนได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ดังนั้น การรังสรรค์อาสนวิหารราฟาแอลขึ้นมาใหม่ จึงมิใช่เป็นเพียงการสร้างอาสนวิหารหลังหใ่แทนท่ีหลังเก่าท่ีชำรุดเกินจะบูรณะได้เท่านั้น แต่กลับเป็นเครื่องหมายของการก้าวสู่ยุคใหม่ของสังฆมณฑลโดยอาศัยพระวาจาอันทรงพลังของพระเจ้า ที่ค่อย ๆ รวบรวมหยาดเหงื่อ แรงงาน และหล่อหลอมหัวใจของคริสตชนทุกคนในสังฆมณฑลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน รูปทรงแปดเหลี่ยมของอาสนวิหารจึงเป็นสัญญลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งความรักและความเป้นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในสังฆมณฑล ศิลปกรรมร่วมสมัยแบบทางใต้ท่ีผสมผสานเข้ากับศิลปกรรมของคริสตศาสนาอยาางลงตัว เป็นเครื่องหมายถึงความพร้อมของคริสตชนท่ีพร้อมจะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งความเชื่อท่ีเข้มแข็ง ในท่ามกลางบริบทของสังคมและวัฒนธรรมปัจจุบัน