(๒๖๖) ๏ หนูน้อยพลอยร้องบ่วง สรวงศาร
เสียงฉ่ำน้ำนมหวาน แววก้อง
เบิกป่าท่าเทวถาน ถูกท่วน ขบวนเอย
หนุ่มรับสรัพเสียงซ้อง เสนาะซ้อนกลอนในฯ
(๒๖๗) ๏ เทียรจุดขุดแร่หลั้น ควันเขียว
พลุ่งพลุ่งมุ่งดูประเดียว ดุ่มคล้าย
หนุ่มเหนเช่นลิงเหลียว เลื่อนกลับ ลับแฮ
ฟุ้งพิศฤทธิแร่ร้าย รู้เถ้าเจ้าหวงฯ
(๒๖๘) ๏ เหมือนครูผู่เท่าแจ้ง แหนงใจ
รอขุดจุดเทียรไชย เช่นรู้
ดับพิศฤทธิพระไพร พรมสมุท อยุดแฮ
เดี๋ยวหนึ่งอึ่งอู้อู้ อ่อนไม้ใหญ่รเนนฯ
(๒๖๙) ๏ ลมลั่นครั่นครึกฟ้า หนาฝน
ซู่ซู่หนูวิ่งวน ว่าช้าง
เทียรดับกลับมืดมน เหมนเบื่อ เสือเอย
จวนค่ำจำอยุดค้าง คิดแก้แร่โพรงฯ
(๒๗๐) ๏ ขอนเรือเหนือน้ำนึก น้อยใจ
คราวเคราะเพราะพระไพร พี่น้อง
ขัดพระจเชิญไฟ ฟอนซู่ รู้ฤๅ
ทุ่งท่าป่าจะต้อง โตล่งสริ้นถิ่นสถานฯ
สุนทรภู่แต่งนิราศสุพรรณขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๗๔ ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ และเดินทางไปเมืองสุพรรณโดยทางเรือ วัตถุประสงค์ในการเดินทางคือเพื่อหาแร่ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาแปรธาตุชนิดอื่นได้ ซึ่งเรียกกันว่า "เล่นแร่แปรธาตุ"
นิราศสุพรรณนี้เป็นเพียงร้อยกรองเรื่องเดียวของท่านที่แต่งเป็นโคลง ทำนองจะลบคำสบประมาทว่าท่านแต่งได้แต่เพียงกลอน ในนิราศเรื่องนี้ เราจะพบท่านสุนทรภู่แต่งโคลงกลบทไว้หลายต่อหลายรูปแบบ และโคลงที่มีสัมผัสในเหมือนอย่างกลอนที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า ท่านสุนทรภู่ใช้คำเอกโทษ โทโทษ เปลืองที่สุด ด้วยหมายจะคงความหมายดังที่ต้องการ ส่วนการรักษารูปโคลงเป็นเพียงเรื่องรอง ทำให้ได้รสชาติในการอ่านโคลงไปอีกแบบหนึ่ง เพราะต้องเดาด้วยว่าท่านต้องการจะเขียนคำว่าอะไร