การทำบุญกลางบ้าน แยกออกเป็นหลายแนวคิดตามคติของแต่ละชุมชน บางชุมชนก็ว่าทำตามประเพณีเมื่อถึงเวลาก็ต้องทำ บางแห่งก็ว่าทำบุญขอฝน บางชุมชนก็ว่าทำบุญขับเสนียด ฯลฯแต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามก็ถือเป็นมงคลในชุมชนนั้น ๆ จะกระทำกันหลังวันพืชมงคลย่างเข้าฤดูฝน คือมีประวัติในธรรมบทขุทกะนิกาย ภาค ๔ เล่าว่า ในเมือง ไพสาลี เกิดโรคระบาดสัตว์เล็ก ๆ ตั้งแต่ เป็ด ไก่ หมู หมา ไล่ ขึ้นไป จนถึงสัตว์ใหญ่ ช้างม้า วัว ควาย ล้มตายไม่เว้นแต่ในพระราชวัง ลุกลามไปถึงมนุษย์ เจ้าลิฉวี ผู้ปกครองกรุง ไพสาลี ให้พราหม มาทำพิธีขับไล่ภัยเหล่านั้น ยิ่งทำภัยก็ยิ่งเพิ่มขึ้นประชาชนล้มตายเพิ่มขึ้นทุกวัน เจ้าลิฉวี ได้ทำพิธีต่าง ๆ ตามคำแนะ นำของพราหม ประการสุดท้ายพราหมแนะ นำให้ประกอบพิธีบูชายัญ (เผาทั้งเป็น) โดยใช้สิ่งมีชีวิตอย่างละ ๕๐๐ ได้แก่ ช้าง ๕๐๐ ม้า ๕๐๐ วัว ๕๐๐ ควาย ๕๐๐ สัตว์ทุกอย่าง อย่างละ ๕๐๐ มนุษย์ทาสชาย ๕๐๐ ทาส หญิง ๕๐๐ ในขณะนั้นพระนางมัลลิกา พระเหสีของพระเจ้าลิฉวี ได้ยินเสียงร้องไห้คล่ำครวญของสัตว์และมนุษย์เหล่านั้น จึงทูลถามพระเจ้าลิฉวี พอได้ข้อความ พระนางขอถ่ายชีวิตของสัตว์และมนุษย์เหล่านั้น ด้วยชีวิตของพระนางและบริวาร โดยขอทำพิธีที่พระนางเคารพนับถือ นั่นก็คือพระนางเป็นชาวพุทธ ได้ไปทูลถามและเล่าความเป็นมากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้จัดประรำพิธี ขึ้นที่ทางสี่แพร่งกลางกรุงไพสาลี จัดสถานที่สำหรับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จำนวน ๕๐๐รูป วิฬุหเทวดาผู้รักษาเมือง รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จมายังกรุงไพสาลี ซึ่งเต็มไปด้วยอมนุษย์และซากศพ จึงบันดานให้ฝนตกลงมาเพื่อชำระพื้นที่ให้สะอาด พัดพาเอาสิ่งที่เป็นปฏิกูลไหลลงสู่แม่น้ำคงคา ทำให้พื้นที่ทั้งเมืองสะอาด เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมา เจริญพระพุทธมนต์ อมนุษย์และสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่สามารถดำรงอยู่ ด้วยอำนาจศีล และบารมีของพระพุทธเจ้า ได้พากันหลบลี้หนีออกจากเมืองไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมอบหมายให้พระอานนท์พุทธอนุชาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปทั่วเมือง สัตว์ทั้งหลายที่จะถูกบูชายัญก็ได้รับการปลดปล่อย กรุงไพสาลี ก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ฝนก็ตกตามฤดูกาล
ลำดับพิธี ตั้งประรำพิธีหรือใช้ลานกลางแจ้งตามแต่ความเหมาะสม ตั้งโต๊ะหมู่บูชา จัดอาสนะสงฆ์สำหรับเจริญพระพุทธมนต์ ตั้งขันน้ำมนต์ พร้อมของอันควรแก่การถวายพระเตรียมเครื่องขยาย ตามไฟภายในบริเวณพิธีในชุมชนก็โยงสายสิญจน์จากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งมาที่บริเวณพิธี เจ้าของบ้านแต่ละหลังก็จัดทำกระทงหรือกระบาน ในกระทงใส่ขนมต้มแดง ต้มขาว ผักพล่า ปลายำ ข้าวน้ำ พร้อมปั้นรูป ของคน สัตว์ สิ่งของ ใส่ในกระทงนั้นด้วย เพื่อให้พระสงฆ์สวดขับเสนียด และสะเดาะเคราะห์ ปี เคราะห์ เดือน เคราะห์ วัน สิ่งที่ไม่ดีให้ตกตามไปกับกระทง หลังพระสงฆ์เจริญพุทธมนต์เสร็จแล้ว ก็ให้นำไปทิ้งที่ทางสามแพร่งหรือ สี่แพร่งก็ได้ให้ไกล ๆ บ้านคน และถือกันว่าเมื่อนำกระทงไปทิ้งห้ามหันหลังกลับไปดู ให้เดินออกไปเลย บางแห่งกลางคืนจัดให้มีมหรสพฉลองตามความสมัครใจของแต่ละชุมชน รุ่งเช้าก็นำอาหารคาวหวานมาถวายพระที่บริเวณพิธีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากพระสงฆ์ให้พรเสร็จแล้ว ก็ให้พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปทั่วหมู่บ้านเพื่อขับเสนียด และเพื่อความเป็นมงคลของชุมชนนั้นๆ
สถานที่จัดทำบุญกลางบ้านแบบง่าย ๆ ใช้ลานกลางหมู่บ้าน ไม่ ตั้งประรำพิธี หรือกลางเต้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูความเหมาะสมเป็น ไปได้ในแต่ละสถานที่