ดอกกระเจียว
ชื่อวิทยาศาสตร์: Cercuma alismatifolia Gagnep
ชื่อไทย :กระเจียว , ปทุมมา , บัวสวรรค์
ชื่อสามัญ :Siam Tulip , Patumma
ชื่อการค้า :Curcuma Sharome
สกุลย่อย :Paracurcuma
กลุ่ม :Patumma
ทรงต้น :คล้ายกล้วย
ถิ่นกำเนิด :ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ลักษณะทั่วไป :
- ดอกกระเจียวจะเป็น ทรงพุ่มสูงประมาณ 55 เซนติเมตร กว้าง ประมาณ 50 เซนติเมตร ลำต้นเทียม สูงประมาณ 30 เซนติเมตร
- ใบ ดอกกระเจียว จะมีกาบใบสีเขียว โคนสีแดง ก้านใบยาว มีความยาว ประมาณ 10 เซนติเมตร ใบเป็นรูปรี ค่อนข้างแคบ กว้าง 7.5 เซนติเมตร ยาว 32 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ ไม่มีขน บริเวณเส้นกลาง ใบอาจมีสีแดง ไม่มีเส้นลอย
- ส่วนดอก จะมีช่อดอก เกิดจากปลาย ลำต้นเทียม ก้านช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ใบประดับสีเขียว อาจมีสีม่วงชมพู แต้มบ้างขนาดกว้าง ประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 2.5 เซนติเมตร ใบประดับส่วนบนมีสีชมพูอมม่วง กว้าง 3.2 เซนติเมตร ยาว 5.5 เซนติเมตร จำนวนใบส่วนบนจะแตก กันตามพันธุ์ ส่วน ดอกสีขาว ปากสีม่วง ด้านในของสันเป็นสีเหลือง กลีบสเตมิโนด มีสีขาวขนานกัน
วิธีการขยายพันธุ์:การเพาะเมล็ด การแยกเหง้า การผ่าเหง้า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สภาพปลูกที่เหมาะสม : ดอกกระเจียวชอบ ดินร่วนระบายน้ำดี อินทรียวัตถุสูง แสงจัด
ประโยชน์ :ดอกกระเจียว สามารถนำมาทำเป็น ไม้ตัดดอก ไม้ดอกกระถาง ไม้ดอกประดับแปลง
ประโยชน์และ สรรพคุณของกระเจียว :
ดอกกระเจียว สามารถนำมารับประทานได้ ให้นำดอกอ่อน นำมาลวกสุกจิ้มกับน้ำพริก หรือ จะกินดอกสดก็ได้ สารถนำมา รับประทานเป็นผักกับ ลาบก้อย น้ำพริกมีสรรพคุณช่วยขับลม ช่วยในการ แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้มดลูกอักเสบสำ หรับสตรีหลังคลอด ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นักท่องเที่ยวหรือผู้สนใจสามารถชมดอกกระเจียวได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ