ประวัติความเป็นมา
นานมาแล้วก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์เราต่างก็ตั้งบ้านแปลงเรือน อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ตามเผ่าพันธุ์ของแต่ละเชื้อชาติ แล้วแต่หัวหน้าเผ่าใดจะมีความสามารถหรือฉลาดเฉลียวที่จะรวบรวมผู้คนมาเป็สมัครพรรคพวกได้มากๆ แต่ละกลุ่มก็จะตั้งกฏระเบียบแบบแผนมาเป็นข้อบังคับให้ลูกบ้านใช้ยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข ถ้าผู้ใดละเมิดกฎที่ตั้งไว้ ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษตามที่แจ้งไว้ในกฎของเผ่าพันธุ์นั้นๆ เมื่ออยู่ร่วมกันเนิ่นนานจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จึงทำให้ออกลูกออกหลานมากขึ้นจนเป็นชุมชนใหญ่โต ผู้คนก็มากขึ้นตามปกติ จึงทำให้เกิดต่างความคิดเห็นของแต่ละคนแต่ละกลุ่มความขัดแย้งเรื่องราวต่างย่อมเกิดขึ้น จึงพาสมัครพรรคพวกแยกจากกลุ่มใหญ่ไปหาที่ตั้งหลักแหล่งสร้างบ้าานแปลงเรือนทำมาหากินกันตามความพอใจของตน และผู้นำก็ต้องจัดระเบียบตั้งกฏขึ้นใช้ในการปกครองผู้คนในเผ่าของตนเช่นกันตลอดมา
เมื่อประชากรมากขึ้น ย่อมมีคนฉลาดมากขึ้น รู้จักคิดรู้จักพิจารนาดูดินฟ้าอากาศ หาพิธีเอาชนะธรรมชาติเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด และเป็นผู้ที่เคารพเชื่อถือของคนทั่วไป สิ่งที่พยายามค้นคิดเฝ้าสังเกตฝนตก ว่ามันมักจะตกวันไหนบ่อยๆ สมัยก่อนไม่มีวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ แต่เขาจะนับวันกันตามจันทรคติ คือยึดเอาการหมุนเวียนของการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์เป็นหลักเกณฑ์ วันที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาใช้นับกันก็มีสองอย่างคือ ข้างขึ้นและข้างแรม
การนับวันตามจันทรคตินี้ เขาใช้กันมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้กำหนดให้พระสาวกของพระองค์บงเกศาในวันโกนซึ่งก่อนวันพระหนึ่งวัน
ตามธรรมชาติแรงดึงดูดของโลกและดวงจันทร์ จะทำให้อากาศแปรปรวน จึงทำให้เกิดความกดอากาศสูงบ้างต่ำบ้าง จึงทำให้ไอน้ำ ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าบนท้องฟ้าเกิดการรวมตัวกันมากขึ้น จึงทานน้ำหนักไม่ไหวแล้วตกลงมาเรียกว่าน้ำฝน สิ่งนี้เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ท่านหมอผีทั้งหลายไม่ทราบที่มาที่ไปว่าทำไมจึงเกิดเหตุดังกล่าวนั้นหรอก ได้แต่จดจำไว้ว่าเมื่อไรฝนมันจะตกลงมา แล้วเก็บข้อมูลไว้ เมื่อถึงหน้าฝนเกิดความแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกชาวบ้านต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงพืชผลทำมาหากินตามฤดูการ ก็พากันไปหาหมอผีมาทำพิธีขอฝนจากสิ่งที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์ มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เช่นผี,เทวดา,เทพเจ้าฯลฯ แล้วแต่ที่เขาเล่าเรียนสืบทอดกันมา
เมื่อตกลงกันดีแล้ว หมอก็จะกำหนดวันนัดทำพิธีการขอฝน โดยการเจาะจงลงไปเลยว่าวันโกน หรือวันพระที่จะถึงนี้นะ ให้เลือกเอาวันใดวันหนึ่ง แล้วผู้นำหมู่บ้านนั้นๆ ก็จะเรียกลูกบ้านมาประชุมเพื่อบอกกล่าวกันให้รู้ทั่วทั้งหมู่บ้าน แล้วแบ่งงานมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกันตามแต่ใครจะถนัดที่จะช่วย เช่นกลุ่มหนึ่งช่วยกันทำคานหาม (ปัจจุบันจะเห็นได้บ้างในงานแห่นาคไปอุปสมบท) ช่างที่มีฝีมือจะประดิษฐ์ตบแต่งได้สวยมาก แต่ที่ไม่มีฝีมือก็เอาเพียงแค่ใช้งานได้เท่านั้น อาจใช้ไม้ไผ่ท่อนเดียวความยาวสัก 4 ศอกก็พอแล้ว สำหรับแขวนตะกล้าหรือชะลอมขังแมวตัวใหญ่ๆ ไว้ในนั้น ใช้คน 2 คนห้ามหัวท้าย แมวอยู่กลาง
เมื่อถึงกำหนดวันนัดชาวบ้านจะมีความตื่นเต้นกันมากโดยเฉพาะพวกเด็กๆนี่ใจจดใจจ่ออยากเห็นขบวนแห่กันเต็มที กลุ่มหนุ่มสาวก็ใจเต้นระทึกอยากจะเห็นคู่รักของตนแต่งตัวชุดอะไร แต่ระบ้านที่เส้นทางขบวนแห่จะต้องผ่านมา เขาจะจัดเตรียมน้ำไว้เยอะๆ ผู้นำขบวนการจะจัดหาสุราปลาปิ้งมาเลี้ยงกันอย่างทั่วถึง สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือเถิดเทิง (กลองยาว) ปี่, ฉิ่ง, กรับ, ฉาบ, ฆ้อง และนักร้องประจำวง
ครั้นได้เวลาบ่ายแก่ๆ ชาวบ้านเรียกแดดร่มลมตก หมอผีก็จะทำพิธีกรรมของเขาตามที่ถ่ายทอดกันมา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็สั่งจัดขบวนตั้งแถวคณะกลองยาวนำหน้าตามดัวยนางรำทั้งชายและหญิงแล้วก็มีสองคนช่วยกันหามแมวที่อยู่ในชะลอม จะมีผู้นำหมู่บ้านและหมอผีเดินเคียงข้างคนหามแมวอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ชาวบ้านเกิดความศรัทธาเชื่อถือ
แผ่นดินที่แห้งแล้งเพราะไร้ฝนตกมานาน ถูกแดดเผามาตั้งแต่เช้าจนบ่ายแก่ๆ จึงทำให้ร้อนระอุ ทางเดินเป็นฝุ่นฟุ้งขี้นประดุจหมอกควัญซึ่งเกิดจากฝ่าเท้าของฝูงชนในขบวนแห่นั้นเอง พอผ่านบ้านใดเขาก็จะเอาน้ำที่เตรียมไว้สาดลดใส่แมว น้ำที่ตกลงสู่ผืนแผ่นดินที่กำลังร้อนระอุ ทำให้เกิดปฏิกิริยาร้อนแรงขึ้นอีกทำให้ผู้คนในขบวนแห่กระโดดโลดเต้นแฝงไปด้วยความสนุกสนาน และด้วยอิทธิฤทธิ์ของ ส.ร.ถ.(สุราเถื่อน) จึงลืมความทุกข์ยากไปได้ชั่วขณะ ขบวนแห่จะดำเนินการไปจนทั่วทุกครัวเรือน ทำให้น้ำนองเจ่งไปทั่วทางเดิน เพราะชาวบ้านเอาน้ำมาราดลดแมวนั่นเอง ครั้นถึงยามค่ำคืน ความร้อนยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณเพราะตามกฎของธรรมชาติ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ผืนแผ่นดินก็จะคลายความร้อนขึ้นมาแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า (ช่วงนี้จะเข้าสู่ทฤษฎีการทำฝนเทียมระดับหนึ่ง) เมื่อความร้อนลอยสูงขึ้นๆ ไปกระทบกลุ่มเมฆที่มีละอองน้ำเข้า ละอองน้ำก็จะลอยหนีความร้อนขึ้นสู่เบื้องบน จึงไปกระทบความเย็นเข้าและเกาะจับรวมตัวกันมากขึ้นจึงทานน้ำหนักไม่ไหวทำให้ต้องลอยต่ำลงมาแล้วกลายเป็นหยดน้ำที่เราเรียกว่าฝนตกนั่นแหละครับ
ประเพณีแห่นางแมว ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีขอฝนของชาวอีสาน
พิธีแห่นางแมวของชาวอีสานเพราะเชื่อว่าเหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผลหลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง,ประชาชนชาวเมืองหย่อนในศีลธรรม ,เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดินไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม, เป็นต้น เหตุนี้ชาวเมือง ชาวอีสานจึงต้องทำพิธีอ้อนวอนขอฝน และการที่ต้องใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคัญในการขอฝน เพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่เกลียดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะร้องทันที ชาวอีสานจึงถือเอาเคล็ดที่แมวร้องในเวลาฝนตกว่า จะเป็นเหตุให้ฝนตกจริงๆ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสาดน้ำและทำให้แมวร้องมากที่สุดจึงจะเป็นผลดี และชาวอีสานเชื่อว่าหลังจากทำพิธีแห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน และตามคำเซิ้ง ของนางแมว
องค์ประกอบที่ใช้ในพิธีแห่นางแมว
1. กะทอหรือเข่งที่มีฝาปิดข้างบน 1 อัน
2. แมวสีดำตัวเมีย 1 ตัว
3. เทียน 5 คู่
4. ดอกไม้ 5 คู่
5. ไม่สำหรับสอดกะทอให้คนหาม 1 อัน
วิธีแห่งนางแมว
1.ชาวบ้านรวมทั้งคนแก่คนหนุ่มและเด็กส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ปรึกษาหารือกัน คนที่เป็นผู้นำกล่าวเซิ้ง เพื่อให้ผู้ไปแห่ทั้งหมดเป็นผู้ว่าตาม ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน
2. หากะทอใบหนึ่งหรืออาจใช้เข่งก็ได้
3. จับเอาแมวตัวเมียสีดำ 1 ตัวใส่ในกะทอ ใช้เชือกผูกปิดปากะทอไม่ให้แมวออกได้ และใช้ไม้สอดกะทอให้คนหา 2 คน ตั้งคายด้วยขันธ์ ห้า ป่าวสักเคเทวดา เพื่อให้เทวดาบันดาลให้ฝนตก
4. ได้เวลาพลบค่ำผู้คนกำลังอยู่บ้าน ก็เริ่มขบวนแห่โดยหากะทอแมวออกข้างหน้า แล้วตามด้วยคนว่าคำเซิ้ง และผู้แห่ว่าตามเป็นท่อนๆไป ในขบวนก็จะมีการตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะตามไปด้วย และแห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใครเจ้าของบ้านก็ต้องเอาน้ำสาดหรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้อง และสาดใส่ขบวนเซิ้งด้วย ประเพณีบางบ้านก็สาดใส่ขบวนเฉยๆโดยไม่ให้ถูกแมว เพราะปรากฏว่าเซิ้งหนักๆเข้า แมวตายวันละตัว
คำเซิ้งแต่ละท้องถิ่นไม่ค่อยเหมือนกันแต่สิ่งที่รวมอยู่ในคำเซิ้งคือมีการพรรณนาถึงความแห้งแล้งและขอให้ฝนตกเหมือนกัน และเท่าที่
คำเซิ้งในพิธีแห่นางแมว
"เต้าอีแม่นางแมว แมวมาขอไข่ ขอบ่ได้ขอฟ้าขอฝน
ขอน้ำมนต์อดหัวแมวบ้าง บ่ได้ค่าจ้างเอาแมวข้อยมา
บ่ได้ปลาเอาหนูกับข้าว บ่ได้ข้าว เหล้าเด็ดก็เอา
เหล้าโทก็เอา แม่เม่าเอย อย่าฟ้าวขายลูก ข้าวเพิ่นปลูก
ลูกน้อยเพิ่นแพง ตาเวนแดง ฝนแทงลงมา ตาเวนต่ำ
ฝนหน่ำลงมา ตาเวนตก ฝนตกลงมา
ดังเค็งๆข้ามดงมานี้แบ้นบักเลิกแบ้นพ่ออีเถิง
ฮ่งเบิงๆฝนเทลงมา ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายเหมิดแล้ว
ฝนบ่ตกข้าวนาตายแล้งเหมิดแล้ว
ฝนบ่ตกกล้าแห้งตายพรายเหมิดแล้ว
ตกลงมาฝนตกลงมา เท่งลงมาฝนเท่งลงมา