ประมาณก่อนปี พ.ศ.2480 ก่อนสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ชาวไทยเบิ้งโคกสลุง มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการแต่งกายที่ยังเป็นโบราณ หลังจากสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม แล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายอย่างมาก
การแต่งกายก่อนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้ชายไม่นิยมใส่เสื้อ ใส่สนับเพลาและนุ่งโจงกระเบนสีเขียวอ่อนทับสนับเพลาอีกที ผ้าโจงกระเบนใช้ทอเอง ใช้ด้ายใยบัวซึ่งเป็นด้ายเส้นเล็กหาซื้อจากตลาด นำมาทอเป็นผืน แล้วเย็บเป็นโจงกระเบน ไม่ใส่รองเท้า และถือไม้ตะพด ซึ่งทำจากไม้รวกหรือไม้ไผ่ และกินหมาก ตัดผมสั้น ส่วนผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีเขียวแก่ ใช้ผ้าทอเอง มีสไบ บางคนใช้ผ้ารัดอก ไว้ผมสั้น คล้ายทรงดอกกระทุ่ม ไม่ใส่รองเท้า นิยมกินหมากเหมือนกันเด็กทั้งหญิงและชาย จะไม่ใส่เสื้อผ้าตั้งแต่แรกเกิด เด็กหญิงจะใส่ตะปิ้งทำด้วยเงิน โดยซื้อจากท้องตลาด ส่วนเด็กชาย นิยมไว้ผมจุก ผมเปีย ผมโป้ย และผมกา จนกระทั่งอายุ 9 ปีขึ้นไป จะใส่กางเกงขาสั้นทั้งชายและหญิง ไม่ใส่เสื้อ การแต่งกายสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงมาก ผู้ชายเริ่มใส่เสื้อคอกลมผ้าป่านสีขาว แขนสั้น แต่ยังนุ่งโจงกระเบน และใส่กางเกงขาก๊วยบ้าง ส่วนหญิงเริ่มเปลี่ยนจารกผ้ารัดอก มาใส่เสื้อ เรียกว่าเสื้อกระโจม หรือเสื้ออีหิ้ว ลักษณะเสื้อไม่มีแขน จะมีสาย 2 สายแขวนไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง ตัวเสื้อจะรัดบริเวณเหนือหน้าอก ตัวเสื้อยาวแค่เอว ยังนุ่งโจงกระเบนอยู่ และมีเสื้ออีกชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกันคือ เสื้ออีแปะ คล้ายเสื้อชั้นในสตรีในปัจจุบัน แต่สายจะกว้างกว่า มีเม็ดดุมผ่าอก มีกระเป๋าเล็ก ๆ ข้างลำตัว 2 ใบ ระยะต่อมา ผู้ชายใส่กางเกงขาก๊วยมากขึ้น เสื้อคอกลมแขนสั้น ผู้หญิงเริ่มไว้ผมยาว ใส่เสื้ออีแปะข้างใน มีเสื้อนอกคอกลมหรือคอห้าเหลี่ยม และบางคนเลิกกินหมาก ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอยู่ตลอดเวลา กระบวนการเหล่านี้ ทำให้กระแสวัฒนธรรมเข้ามาสู่ชาวโคกสลุง ทำให้รูปแบบการแต่งกายแบบดั้งเดิมเริ่มหายไปทีละน้อย แต่ยังพอหาดูวัฒนธรรมการแต่งกายที่เป็นแบบโคกสลุงดั้งเดิมได้บ้าง สำหรับคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป