วัดน้ำฮู เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อหลวงพ่ออุ่นเมืองที่มีน้ำไหลออกจากพระเศียรดสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดและด้สร้างไประยะหนึ่งต่อมาปี 2468ได้มีนายเหงหงษ์ พงษ์คำเต็ม และผู้ใหญ่บ้านทอน ไม่ทราบนามสกุล ได้ทำหารบูรณะขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้นำคณะศิษยานุศิษย์เดินธุดงค์เข้ามายังอำเภอปายได้มาเห็นสภาพทรุดโทรมของวัดและใต้เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์แบบสิงห์สามเหลี่ยมสมัยเชียงแสนประดิษฐานอยู่ในศาลาหลังเก่าทรุดโทรมมาก จึงได้ทำการบูรณะและสร้างวิหารขึ้นมา 1 หลัง ใช้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้พร้อมกับสร้างเจดีย์ขึ้นอีก 1 องค์ ไว้ด้านหลังวิหารต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้มีพระธุดงค์จากต่างจังหวัดมาพักที่วัดนี้โดยได้พักในพระวิหารได้สังเกตเห็นว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปชุ่มชื้นเป็นพิเศษจึงได้เข้าไปสังเกตโดยใกล้ชิดพบว่าเศียรของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นโพรง พระโมหีถอดได้และในโพรงพระเศียรนั้นมีน้ำขังอยู่เต็ม จึงเป็นทีล่ำลือกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เงียบหายไปเพราะไม่มีใครกล้าพิสูจน์ความจริงกันต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2516 ร้อยเอกประเสริฐ เรียมศรี นายอำเภอปายพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการอำเภอปาย ได้ร่วมกันทำการพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยความร่วมมือของเจ้าอาวาสและคณะศรัทธา มีการอธิษฐานขอทำการพิสูจน์จากนั้นได้ให้คนตักน้ำจากพระเศียรออกจนหมดใช้สำลีเช็ดจนแห้งสนิทและทำการปิดพระเศียรผูกเชือกประทับตราครั่งทั้งที่พระเศียรและประตูหน้าต่างวิหารปิดทุกบานห้ามทุกคนเปิดจนกว่าจะครบกำหนดเวลา 5 วัน ซึ่งเมื่อครบตามกำหนดได้ทำการเปิดต่อหน้าคณะทำการพิสูจน์ชุดเดิมผลปรากฏมีน้ำขังอยู่ในพระเศียรของพระพุทธรูปจริงตามคำล่ำลือ นับเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่1 นั้นมาข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปองค์นี้จึงได้ระบือไกลมีผู้คนจากต่างถิ่นเข้ามานมัสการกราบไหว้อยู่มิได้ขาดจนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้มีหลวงปู่สมบัติคุเณสโกวัดถ้ำก่อจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนและนายประมวล รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มานมัสการหลวงพ่ออุ่นเมืองทางเจ้าอาวาสและคณะศรัทธาได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านทราบทางหลวงปู่สมบัติ คุเณสโกและท่านผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้ตั้งจิตเป็นสมาธิตรวจสอบดูแล้วให้คำแนะนำว่าที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นนั้นเป็นเพราะได้มีการเคลื่อนย้ายหลวงพ่ออุ่นเมือง