กระดังงาบุปผาราม จ.สิงห์บุรี

ตั้งอยู่เลขที่ 80 หมู่ 6 ถนนสายสิงห์บุรี – ชัยนาท ตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่อันเป็นที่ตั้งของวัด มีเนื้อที่ ประมาณ ๒๗ ไร่ ๓ งาน ๓๘ ตารางวา ที่ธรณีสงฆ์ มี ๑ แปลง

วัดกระดังงาบุปผาราม สร้างขึ้นครั้งแรก เมื่อไรไม่มีใครทราบ โดยตามสภาพที่มีหลักฐานปรากฏชัดในปัจจุบัน คือ วิหารมหาอุด ด้านในมีพระพุทธรูปปูนปั้น ลักษณะแบบมอญ แต่ก่อนฉาบทาด้วยสีขาวอมชมพู อันศักดิ์สิทธิ์ บางท่านเรียกว่า หลวงปู่อึ่ง ความสำคัญตามตำนาน คือ มีไว้สำหรับปลุกเสกของในครั้งจะออกรบ จะมีทางเข้าแต่ไม่มีทางออก ลักษณะทรงไทยสมัยอยุธยาตอนต้น ก่ออิฐฉาบผนังทึบ กว้าง 16 เมตร ยาว 22 เมตร มีกำแพงแก้ว ก่ออิฐทึบ โดยรอบ ตลอดเจดีย์ พระอุโบสถ สูงประมาณ 1 เมตรเศษ สมัยหลวงปู่อึ่งท่านได้บูรณปฎิสังขรณ์วัด ตลอดระยะเวลาสมัยหลวงปู่อึ่งนั้นเกิดสงคราม พม่า สงครามจีนฮ่อ และท่านได้แตกทัพไปมรณภาพที่เมืองเหนือ ผู้เล่าจำจังหวัด และพ.ศ. ไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า เกิดสงคราม มีต้นกระดังงาอยู่มากมายส่งกลิ่นหอม ผู้เล่าๆ สืบต่อๆ กันมาประมาณ 4 ชั่วคน แต่ก็เห็นเจดีย์มาตั้งแต่เดิมพร้อมโบถส์ และวิหาร ต้นยาง บางอย่างถูกเผาแต่ยังคงสภาพเดิมในสมัยนั้น ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ต้องให้พระทำน้ำมนต์เพียงแต่เอาน้ำไปในวิหาร แล้วบอกเล่าอธิษฐานตามความปรารถนาก็ประสบผลสำเร็จ ใช้กันทั้งหมู่บ้านในสมัยนั้น ผู้เล่าบอกว่า เป็นสมัยอยุธยาเพราะ เล่าต่อ ๆ กันมาหลายชั่วคน ถัดมาด้านหลังเล็กน้อยเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำมีลานประทักษิณ เสาหาร ปล้องไฉน สมัยกรุงศรีอยุธยา สูงโดยประมาณ 20 เมตร ผู้เล่าบอกว่าเจดีย์มีมาตั้งแต่สงครามพม่า สงครามจีนฮ่อ บูรณะปฎิสังขรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยคณะ พ.อ.พิเศษ พล ราชประสิทธิ์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2525 ถัดจากจากเจดีย์ประมาณ 10 เมตร มี“พระอุโบสถ” หลังเก่า มีมาแต่เดิมเช่นเดียวกัน โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด ด้านข้างอุโบสถหลังเก่าด้านทิศใต้มี “พลับพลา” ที่ประทับตั้งเด่นอยู่ปรากฏเป็นหลักฐานแต่ไม่ทราบว่า สร้างไว้เพื่อประโยชน์อะไร
“เสาหงส์” อยู่ถัดมาด้านทิศใต้ของวิหารเดิมเป็นเสาคู่อยู่หน้าศาลาหลังเก่าปัจจุบันเหลือเพียงเสาเดียวที่เห็นอยู่ ด้านทิศใต้มีอุโบสถเป็นลักษณะทรงไทย 2 ชั้น ที่เรียกว่า “โบสถ์อยู่บนศาลา” กว้าง 18 เมตร ยาว 38 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ มีลักษณะเป็นอาคาร ๒ ชั้น ทรงไทย พระประธานในอุโบสถ มีลักษณะปางมารวิชัย

โดยมีอดีตเจ้าอาวาสถึง 14 รูป ดังนี้ คือ
1.ตั้งแต่สมัยหลวงปู่อึ่ง เกิดสงครามจีนฮ่อและท่านได้มรณภาพที่เมืองเหนือ
2. หลวงปู่จีนท่านเป็นสมภารสืบต่อมาท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าในสมัยนั้นมีอิทธิปาฏิหาริย์ท่านยังมีสมณศักดิ์เป็นถึงเจ้าคณะแขวง จนเป็นที่เรื่องลือของคนในสมัยนั้นท่านมีปาฎิหาริย์เพราะได้เคยทดลองลูกวัดของท่านหลายครั้ง จนกระทั่งท่านจะพูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น เพราะสมัยนั้นการคมนาคมเป็นทางเรือโยง เรือผ่านหน้าวัดมาเสียงเรือดังมากจนหลวงพ่อทนไม่ไหวเลยท่านได้พูดว่าเดี๋ยวเครื่องมันดับ พอหลวงปู่พูดจบคำ เรือนั้นก็ดับทันที และจนเป็นที่เรื่องลือของคนในสมัยนั้นว่าหลวงปู่จีนท่านมีอภินิหารมาจนถึงปัจจุบันท่านได้ดลจิตใจให้ประชาชนชาววัดกระดังงาบุปผารามหล่อรูปของท่านไว้เป็นที่สักการะบูชานอกจากนั้นท่านยังมี “บาททองเหลือง ใบใหญ่สมัย ร.๕ จารึกว่าเมื่อเสด็จพระราชดำเนินประเทศยุโรปรัตนโกสินทรศก ครั้ง ๑๒๖ เป็นหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน และยังมีสิ่งของอื่นอีกมากมาย แต่ ปัจจุบันเหลือเพียงบาตรใบเดียว ท่านได้มรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. เท่าไรไม่มีใครทราบปัจจุบันรูปหล่อของท่านประดิษสถานในมณฑปไว้เป็นที่สักการะ
3. สมัยหลวงปู่รื่นเป็นทหารไปรบในสมัยสงครามจีนฮ่อ ภายหลังเสร็จจากสงครามอุปสมบทในสมัยหลวงปู่จีนท่านมีฝีมือในการทำไฟพะเนียงในสมัย รัชกาลที่ ๕
4. หลวงปู่เทียน
5. หลวงปู่อ่อง
6. พระมหาฟ้อน
7. หลวงปู่คล้อย
8. พระอาจารย์แถบ
9. พระอาจารย์หลี
10. พระอาจารย์ลอย ราว พ.ศ. 2471
11. พระอาจารย์พริ้ง
12. พระอาจารย์สละ ปรกฺขโม (นันทรักษ์)
13. พระครูใบฎีกาบุญมา ปุญญาคโม
14. พระครูอุทัยกิตติวิมล (ชลอ อุทโย) 1 กค. 2516 – 9 มีค. 2549

ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดกระดังงาบุปผารามสืบต่อมา โดยปู ย่า ตา ยาย เล่าสืบต่อ กันมา

ปัจจุบันมีพระครูใบฎีกาชาติชาย อาภาธโร เป็นเจ้าอาวาสวัดกระดังงาบุปผาราม
และเป็นเลขาฯ เจ้าคณะตำบลบางกระบือ