การทำปราสาทผึ้งจะต้องมีการออกแบบโครงสร้างก่อน โดยออกแบบสร้างโครงด้วยไม้แล้วแกะแบบลายด้วยดินน้ำมันหรือดินเหนียวขึ้นมาก่อน พอได้ลวดลายใบแบบแกะลายแล้วเราก็นำลวดลายเหล่านั้นไปสร้างเป็นแบบพิมพ์ออกมา เพื่อที่จะนำไปหล่อกับขึ้ผึ้งที่เราต้มไว้รอ พอหล่อเสร็จแล้วเราก็แกะขี้ผึ้งออกจากพิมพ์ เพื่อที่จะนำไปติดปะในโครงปราสาทโดยใช้กาวหรือขี้ผึ้งเหนียวมาติดปะในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงาม
ขั้นตอนการออกแบบ
ขั้นตอนการออกแบบมีอยู่ ๕ ขั้นตอน ดังนี้
๑. ขั้นตอนการแกะลาย
๒. ขั้นตอนการทำแม่พิมพ์
๓. ขั้นตอนการต้ม
๔. ขั้นตอนการหล่อ
๕. ขั้นตอนการติดปะ
๑.ขั้นตอนการปั้นการแกะลายเมื่อตกลงใจจะปั้นลายแบบใดแล้ว ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
๑.๑ วัดขนาดความกว้าง ความยาวของพื้นที่ที่จะติดลายนั้น ๆ แล้ววาดลงบนกระดาษแข็งนำมาลองเทียบในพื้นที่ ที่จะติดดูก่อนตัด ปรับรูปแบบขนาดจนพอใจ
๑.๒ ใช้ดินน้ำมัน (ดินน้ำมันควรเป็นสีเดียวกันทั้งก้อน) ใช้แปะกดลงบนแผ่นไม้อัดหรือกระจก ให้ได้ความหนา บาง ตามที่ต้องการ แล้วนำแผ่นกระดาษแบบลายมาวางทาบลงไป วาด ตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก
๑.๓ ลงมือแกะลายลงไปบนต้นแบบดินน้ำมันจนเสร็จเรียบร้อย
๑.๔ ทำแบบหล่อปูนปลาสเตอร์ หรือยางซิลิโคน หากต้องการความทนทาน ใช้งานได้นาน ตัวลายไม่สึกเร็วก็หล่อแบบด้วยปูนซีเมนต์ผสมทรายละเอียอดเพียงเล็กน้อย แต่จะเสียเวลานานแม่พิมพ์จะหนักมาก
๑.๕ เมื่อหล่อแม่พิมพ์ได้แล้วนำมาใช้หล่อลายได้เลย
เครื่องมือในการแกะลาย
ช่างแกะลายควรทำเครื่องมือใช้เองดีที่สุด เพราะจะได้ตามความถนัดของตนเอง ไม่ต้องหาซื้อให้เปลืองเงิน สามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อชำรุดเสียหายก็ทำใหม่ได้ ไม่เป็นภาระกับใคร ช่างบางคนอาจใช้เหล็กใส้ในลวดเชื่อม ซี่ล้อรถจักรยานยนต์ หรือลวดแขวนผ้าอลูมิเนียม นำมาเจียร หรือ ทุบ
๒.ขั้นตอนการทำแม่พิมพ์
ขั้นตอนการทำแม่พิมพ์หรือการสร้างแม่พิมพ์นั้น เมื่อช่างแกะลายด้วยดินน้ำมันเสร็จแล้วก็ถึงขั้นตอนการหล่อแม่พิมพ์เพื่อเป็นแบบหล่อชิ้นงานต่อไป ในสมัยโบราณใช้วิธีแกะผลมะละกอดิบให้เป็นดอกแล้วนำมาจุ่มขี้ผึ้งลอกออกเป็นดอก ต่อมาจึงมีการนำปูนปลาสเตอร์มาหล่อเป็นแม่พิมพ์ ก็ใช้ได้อย่างหลากหลาย กว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน ลายส่วนมากยังต้องใช้แม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์อยู่ เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย ราคาถูกหล่อให้แข็งหรือเซ็ตตัวได้เร็ว แต่อาจมีปัญหาได้ลวดลายที่ไม่ค่อยลึกหรือสลับซับซ้อนนัก มีช่างหลายคนทดลองนำเอาน้ำยางพารามาทดลองหล่อทำแม่พิมพ์ แต่เมื่อนำไปหล่อกับน้ำขี้ผึ้งซึ่งร้อนมาก แบบพิมพ์ยางพาราก็จะละลาย เสียหาย ลอกพิมพ์ไม่ได้ เมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นยางซิลิโคนที่มีคุณสมบัติดีกว่ายางพารา จึงได้มีการใช้ยางซิลิโคนอย่างแพร่หลาย เพราะมีข้อดีคือสามารถหล่อลายที่มีความลึกหรือสลับซับซ้อนได้ หล่อลายที่เป็นแผ่นใหญ่ได้ แต่มีข้อจำกัดคือมีราคาแพงมากหาซื้อได้ยาก ดังนั้นช่างจึงเลือกใช้เฉพาะลายที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
๓.ขั้นตอนการหล่อ
การหล่อแม่พิมพ์ด้วยปูนปลาสเตอร์ เมื่อได้ลวดลายที่ช่างแกะไว้บนแผ่นกระเบื้อง,กระดาน หรือกระจกแล้วให้นำมาวางในที่ ๆ ระนาบ ทำกรอบไม้หรือใช้ดินน้ำมันปั้นกรอบให้สูงพ่อท่วมตัวลาย หรือตามต้องการ แล้วผสมปูนปลาสเตอร์มาเททับตัวลายให้ทั่ว อาจเสริมความแข็งแรงด้วยไม้ไผ่หรือลวด กันแตก ภายในแม่พิมพ์ก็ได้
ขั้นตอนการผสมปูนปลาสเตอร์
๓.๑ ตักน้ำใส่ภาชนะที่ใช้ผสมปูน ควรเป็นพลาสติกปากกว้างอย่างขันน้ำ กะให้พอดีกับปริมาตรที่จะหล่อแม่พิมพ์
๓.๒ เปิดถุงปูน แล้วค่อยเทลงในน้ำ ให้ปูนละลายลงอยู่ใต้น้ำให้หมด แล้วเทน้ำส่วนเกินทิ้งเหลือแต่ปูนอิ่มน้ำ แล้วใช้ไม้คนอย่างรวดเร็ว
๓.๓ เมื่อคนได้เนื้อปูนข้นเสมอกันทั่วแล้ว ให้รีบเทลงในกรอบทับลายที่เตรียมไว้ ควรเทไล่จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อไล่ฟองอากาศออกไปด้วย ไม่ให้เกิดรูอากาศในแม่พิมพ์อันจะทำให้หล่อออกมาไม่ได้ตามที่แกะลายไว้ (ขั้นตอนที่ ๑,๒,๓ นี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่ควรใจเย็น ไม่ผสมปูนเพิ่ม)
๓.๔ ปาดหน้าปูนให้เรียบ ได้ระนาบ จะสะดวกเมื่อเรานำมาเทหล่อลาย ไม่ต้องหาอะไรมารองอีก
๓.๕ ทิ้งไว้ให้แข็งตัว ประมาณ ๒๐ นาที ใช้เล็บหยิกดูเนื้อปูน หากแข็งได้ที่รู้สึกว่าปูนอุ่นๆให้แกะออกจากแผ่นพื้นได้ รีบแกะต้นแบบดินน้ำมันออก แล้วใช้มีดคม ๆ ตกแต่งแม่พิมพ์ในส่วนคิดว่าจะทำให้ถอดชิ้นงานยากเมื่อหล่อลาย
การหล่อแม่พิมพ์ด้วยยางซิลิโคน
ยางซิลิโคน เป็นนวัตกรรมใหม่ทางเคมี มีการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ใช้กันในวงการอุตสาหกรรม และการหล่อเรซิ่น ไฟเบอร์ กลาสส์ แก้วเทียม หินอ่อนเทียม ช่างที่เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทันสมัยได้ศึกษาทดลองทำ แล้วนำมาใช้เผยแพร่ในงานหล่อลายปราสาทผึ้ง ทำให้ได้ผลงานที่พัฒนาขึ้นมากจนแพร่หลายในปัจจุบัน ผลงานออกมาวิจิตร ตระการตา เป็นที่อัศจรรย์สำหรับผู้ที่พบเห็น จนทางราชการกำหนดเอางานประเพณีแห่ปราสาทผึ้งเมืองสกลนครเป็นงานเชิดหน้าชูตาบ้านเมือง และส่งเสริมการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม
ขั้นตอนการหล่อยางซิลิโคน
๑. เมื่อแกะลายแม่แบบแล้ว ให้ทำกรอบเช่นเดียวกับการหล่อปูนปลาสเตอร์
๒. เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ให้พร้อม เช่น ขันน้ำ (เช็ดให้แห้ง) ซิลิโคนตัวทำให้แข็งแล้วเอาไม้คน (ไม้กวน)
๓. เทน้ำยางซิลิโคนลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ตามปริมาณที่ต้องการ
๔. หยดน้ำยา ตัวทำให้แข็งลงไปประมาณ ๑ - ๕ % หรือแล้วแต่ว่าต้องการให้แข็งเร็วหรือช้า แล้วกวนด้วยไม้กวนให้ทั่ว เมื่อแน่ใจว่าน้ำยาเข้ากันทั่วหมดแล้ว จึงค่อยเทไล่จากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่งจนทั่วตัวลาย หากน้ำยาไหลลงจากส่วนที่นูน ให้ค่อย ๆ ใช้ไม้เกลี่ยน้ำยาขึ้นคลุมให้หนา ปล่อยไว้จนกว่ายางจะแข็งตัว ระวังอย่าให้มีแมลงหรือสิ่งใดมาเกาะ
๕. เมื่อยางแข็งดีแล้ว หล่อปูนปลาสเตอร์ทับอีกชั้นหนึ่ง เป็นฐานรองแม่พิมพ์ซิลิโคน
๖. เมื่อปูนปลาสเตอร์แข็งตัวดีแล้ว แกะลายออกจากแม่พิมพ์ได้ ตัดแต่งส่วนเกินแล้วใช้หล่อได้เลย
๔.ขั้นตอนการต้มผึ้ง หรือการหลอมผึ้ง
สมัยโบราณชาวบ้านใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ทุกคนได้สิ่งต่าง ๆ ด้วยการหาจากธรรมชาติได้นำผึ้งจากรังผึ้งในป่า มีผลพลอยได้ก็คือขี้ผึ้ง เมื่อหาขี้ผึ้งมาได้ก็จะนำมาหลอมหรือต้มให้เหลวแล้วเทใส่ในภาชนะหรือกรอกในกระบอกไม้ไผ่ ปล่อยให้เย็นตัวลงเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป เช่น ทำเทียนบูชาพระเทียนส่องสว่าง เทียนฮอบหัว ซั่วคีง เชื้อไฟ ขัดเงา สีผึ้ง เป็นแม่แบบงานหล่อโลหะต่าง ๆ ฯลฯ
เมื่อต้องการนำขี้ผึ้งที่เก็บไว้มาใช้ก็จะนำมาใส่หม้อหรือกระทะ ต้มใช้ไฟอ่อน ๆ ก็จะหลอมละลายเป็นของเหลว นำมาใช้ได้ หากจะใช้ในงานส่วนรวมก็จะมีการขอบริจาคตามบ้านเรือน คนละเล็กคนละน้อย เรียกว่า "แผ่" เป็นการแสดงความร่วมมือกันของชาวบ้าน ชุมชน การต้มมีหลายวิธีดังนี้
๔.๑ ต้มแบบไม้ใช้น้ำให้ความร้อนผ่านหม้อหรือกระทะมาถึงขี้ผึ้งโดยตรง มีข้อดีคือผึ้งละลายเร็ว ไม่เปลืองเชื้อเพลิง แต่ต้องระวังอาจเกิดการลุกไหม้ได้ง่าย และขึ้ผึ้งจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลงมีผลเสียต่อการควบคุมสีให้เท่ากัน
๔.๒ ต้มแบบใช้น้ำเป็นการให้ความร้อนกับน้ำแล้วจึงผ่านมาหลอมขี้ผึ้ง การต้มแบบนี้จะเป็นการแยกตะกอนหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากขี้ผึ้งได้ แต่เวลาตักผึ้งต้องระวังไม่ให้มีน้ำติดมาด้วยทำให้ชิ้นงานที่หล่อมีฟองน้ำ ผิวไม่เรียบร้อยหรืออาจเสียไปเลย การต้มแบบนี้ต้องใช้เวลานาน สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแต่ได้ผลงานที่เรียบร้อยกว่า เหมาะที่จะใช้หล่อชิ้นงานจำนวนมากภายหลังการต้มเทียน ก่อนเสร็จสิ้นภารกิจการหล่อผึ้ง เทียน ควรราไฟให้ค่อยอ่อนลงจนดับไป ต้องใช้ไม้หรือท่อเล็ก ๆ ยาว ๆ มาเสียบไว้ที่ขี้ผึ้งที่เหลือในกระทะ เพื่อระบายแรงดันเมื่อจะต้มคราวต่อไปเพราะน้ำที่หลงเหลืออยู่ใต้ขี้ผึ้งจะเกิดแรงดันสูงมาก เมื่อเราต้มผึ้งอีกครั้งอาจทำให้ระเบิดหรือพุ่งไปลวกผู้ที่อยู่ใกล้เคียงได้ หลังจากนั้นให้เก็บเศษขี้ผึ้งที่ร่วง หกหรือหยดลงบนพื้นหรือภาชนะต่าง ๆ แยกแต่ละสีใส่ภาชนะให้เรียบร้อยไม่ปะปนกัน เพื่อจะควบคุมการผสมสีในคราวต่อไปได้ง่าย
๕.ขั้นตอนการติดปะ
ขั้นตอนการติดปะ หรือติดลาย การติดลวดลายสมัยโบราณใช้ไม้กลัด ต่อเมื่อแรกเริ่มมีการสร้างปราสาทผึ้งประยุกต์ จะติดลายโดยใช้กาวติดแล้วยึดด้วยเข็มหมุดหรือตะปูเข็ม อาจยังมีส่วนของตะปูโผล่ให้เห็นซึ่งดูไม่เรียบร้อย ช่างในปัจจุบันได้คิดค้นพัฒนาวิธีติดลายให้ได้ผลงานที่สวยงาม มั่นใจได้ไม่หลุดง่าย คือใช้ผึ้งเหนียวติดแล้วใช้หัวแร้งไฟฟ้ามาบัดกรีรอยต่อให้เชื่อมกันสนิท ไม่มีรอยต่อ ได้ผลงานที่เรียบร้อย ไว้ใจได้ว่าไม่หลุด ไม่ต้องใช้เข็มหมุด ลวดลายที่หล่อเป็นชิ้นงานเสร็จแล้วยังไม่เรียบร้อย ต้องเลือกชิ้นที่ดีที่สุด นำมาตัดขอบแต่งขอบให้เรียบร้อย วัดขนาดให้พอดีกับพื้นที่ที่จะติด ตัดให้ได้พอดี แล้วจึงนำมาติดกับตัวปราสาทมีข้อแนะนำดังนี้
๑. ควรติดเวลากลางวันที่มีแดด อากาศอุ่นพอดี ขี้ผึ้งจะไม่เปราะ ตัดให้โค้งงอ หรือตรงได้ง่าย มีแสงสว่างเพียงพอ การมอง การเทียบสี การวัดขนาดจะไม่ค่อยผิดพลาด หากจำเป็นต้องติดกลางคืน ควรใช้ไดร์เป่าผม (ร้อน) เป่าตัวลายให้อ่อนก่อนจึงดัด ตัด ติด หากไม่มีก็ใช้วิธีอังไฟให้อุ่นพอดี
๒. เมื่อวัด ตัดขนาดได้แล้วควรนำมาเทียบ ทดลองติดกับตัวปราสาทดูก่อน หากเห็นว่าพอดีแล้วจึงหยิกผึ้งเหนียวขนาดเท่าปลายก้อยติดที่ตัวปราสาทเป็นจุด ๆ กะพอรับน้ำหนักตัวลายได้ แล้วจึงนำลายมาติด
๓. เมื่อติดลายส่วนใด ๆ แล้วควรใช้หัวแร้งไฟฟ้ามาบัดกรีเชื่อมรอยต่อให้เรียบร้อย ใช้ใบมีดบาง ๆ ขูดเศษหรือหยดผึ้งออกให้เรียบร้อย ผลงานจะดูดีมีคุณค่า
๔. การติดลายเข้ามุม เมื่อลายถึงมุมอาจใช้วิธีเป่าลมร้อนแล้วดัดงอติดไปได้ หากจะให้ดีควรตัดเข้ามุม ๔๕ องศา จะดีมาก
๕. ผู้ออกแบบ ช่างโครงสร้าง ช่างแกะลาย ช่างหล่อลาย และช่างติดลายจะต้องประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี หากงานส่วนใดส่วนหนึ่งไม่เรียบร้อย จะส่งผลให้การทำงานส่วนอื่นมีปัญหาไม่เรียบร้อยด้วย ดังนั้นก่อนการเริ่มทำงานทุกคนต้องมีส่วนร่วมออกความคิดเห็น เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง
๖. การติดเพดาน ต้องยกปราสาทลงจากแท่นฐาน กลับหัวลงแล้วจึงติดแผ่นเพดานและลายดาวกระจายให้เสร็จก่อนที่จะติดลายอื่นทั้งหมดหรืออาจใช้วิธีเทลาดผึ้งก็ได้
๗. หลังจากติดเพดานเสร็จแล้ว ตั้งตัวปราสาทผึ้งขึ้นแล้วจึงเริ่มติดตั้งแต่หลังคาเรื่อยลงมาจนถึงฐาน ส่วนยอดควรทำเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก เมื่อติดลายอื่นหมดแล้วจึงนำขึ้นประกอบการติดลายเป็นงานสำคัญที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ความมีสมาธิ ความอดทน พร้อมไปกับการผ่อนคลาย ชาวคุ้ม ชุมชนทุกคนสามารถมาช่วยติดลายได้ เป็นการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ความเครียดหลังการทำงานอาชีพ เพราะเป็นงานที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น คนที่คุ้นเคย ทำงานไปคุยกันไป หยอกล้อ กระเซ้าเย้าแหย่กันไป มีความสุขสนุกสนาน
วัสดุในการทำปราสาทผึ้ง
๑. ขี้ผึ้ง
๒. สีผสมผึ้ง
๓. กาว
๔. ปูนปลาสเตอร์ ยางพารา ซิลิโคน
๕. ไม้ ตะปู (สำหรับทำโครง)