ตะไล เป็นดอกไม้เพลิงโบราณที่มีวิธีการประดิษฐ์และวิธีเล่นแตกต่างไปจากดอกไม้เพลิงชนิดอื่นๆอย่างมาก จึงนับว่าเป็นดอกไม้เพลิงชั้นครูอย่างหนึ่ง ในการประดิษฐ์ตะไลที่มีกระบอกบรรจุดินเชื้อเพลิงขนาดเล็ก จะใช้ไม้ซางหรือไม้รวกก็ได้ แต่สำหรับกระบอกขนาดใหญ่ให้ใช้ไผ่สีสุก ไผ่ดำหรือไผ่ข้อโป เลือกปล้องไม้ไผ่ ขนาดเท่าข้อมือ หรือจะใช้วิธีวิธีวัดรอบกระบอกโดยเอามือข้างหนึ่งกำรอบกระบอกให้เหลือช่องว่างระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง พอให้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอีกมือหนึ่งวางลงไปได้ พอดี ก็จะได้ขนาดกระบอกที่เหมาะสม เรียกวิธีนี้ว่า กำชน" " สำหรับความยาวของปล้องไม้ไผ่ อยู่ที่ความต้องการของช่างผู้ประดิษฐ์ เช่น ขนาด ๖ นิ้ว ๙ นิ้ว ๑๒ นิ้ว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการนำไผ่สีสุกมาใช้ คือไผ่สีสุก ๑ ลำ จะได้กระบอกจากส่วนยอดไผ่เพียง ๒ หรือ ๓ ปล้องเท่านั้น ส่วนอื่นจะใช้ไม่ได้ เพราะรูกระบอกมีขนาด ใหญ่ไม่เสมอกัน หรือมีลักษณะคล้ายท้องปลา ทำให้เหล็กตำดินดำได้ไม่เสมอหน้ากัน การประดิษฐ์ตะไลจะต้องใช้ดินเชื้อเพลิงพิเศษ เรียกว่า "ดินตะไล" เป็นดินดำซึ่งมีอัตราส่วนผสมหลายสูตร ขึ้นกับชนิดของถ่านไม้ และยังต้องใช้ "ดินอั่ว" อุดรูดินเชื้อ เพลิงด้วย ลักษณะโดยทั่วไปของตะไล คือ มีกระบอกบรรจุดินเชื้อเพลิงเป็นแกนกลาง และมีปีกซึ่งทำจากไม้ไผ่เหลาเป็นแผ่นบาง ติดเป็นวงกลมรอบแกนกระบอกไม้ไผ่ไว้ บางชนิด ก็ทำเป็นเพียงครึ่งวงกลม อาจารย์ในสมัยโบราณแบ่งเรียกชื่อตะไลไว้ดังนี้ ตะไลเดี่ยวครึ่งซีก การติดปีกแบบมีหู ทำให้ต้านลม ตะไลจะพุ่งช้า ถ้าติดแบบไม่มีหู ตะไลจะพุ่งเร็ว ตะไลเดี่ยวปีกวงกลม ขนาดประมาณ ๑๔-๑๖ นิ้ว ตะไลเดี่ยว คือตะไลที่จุดเล่นเพียงตัวเดียว ไม่ว่าตะไลนั้นจะประกอบติดปีกมีรูปแบบใด หรือมีขนาดกระบอกบรรจุดินเชื้อเพลิงเล็กใหญ่เท่านั้น ตะไลฉาด คือตะไลเดี่ยวชนิดหนึ่ง แต่แยกเรียกว่าตะไลฉาด เพราะขนาดตะไลวิ่งขึ้นสู่อากาศ จะส่งเสียงดัง ฉาดๆ ทิ้งระยะเป็นช่วงๆไม่ต่ำกว่า ๑๕ ฉาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกระบอกบรรจุดินเชื้อเพลิง และการผสมอัตราส่วนดินเชื้อเพลิง ตะไลอุ้มลูก การประดิษฐ์ไฟตะไลชนิดนี้นับว่าเป็นการประดิษฐ์ชั้นครู ดังจะเห็นได้จากวิธีการสร้างและวิธีการเล่น คือมีตะไลตัวใหญ่ ๑ ตัว เรียกว่า "ตะไลแม่" บรรทุกตะไลตัวเล็กตัวหนึ่ง เรียกว่า "ตะไลลูก" ไว้ด้านบนจึงเรียกว่า "ตะไลอุ้มลูก" การวางตะไลลูกบนตะไลมี 2 วิธี คือ ๑) วางตะไลลูกไว้ตรงกึ่งกลางของตะไลแม่ เรียกว่า "อุ้มแนบอก" ๒) วางตะไลลูกไว้ที่ขอบมุมติดปีกของตะไลแม่ เรียกว่า "อุ้มข้างเอว" เมื่อจุดตะไลแม่ ตะไลแม่จะพาตะไลลูกขึ้นสู่อากาศ พอดินเชื้อเพลิงของตะไลแม่ใกล้หมด เปรียบเสมือนผู้เป็นแม่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรง สังขารจะแตกดับ ถึงตอนนี้ผู้ชมจะได้เห็นตะไลแม่สลัดตะไลลูกออกจากอก หรือเอว มี ๓ วิธีด้วยกันคือ ก) ก่อนที่ตะไลแม่จะแตกระเบิด ตะไลลูกจะติดไฟ สลัดตัวออกจากตะไลแม่แล้วแล่นขึ้นสู่อากาศ สักครู่ตะไลแม่ก็แตกระเบิดไป ข) ตะไลแม่แตกระเบิดพร้อมกับสลัดตะไลลูกออกไป โดยตะไลลูกจะติดไฟแล่นหนีขึ้นไปในอากาศทันทีทันใดเช่นกัน ค) ตะไลแม่แตกระเบิดพร้อมกับสลัดตะไลลูกออกไป ตะไลลูกจะร่วงลงสู่พื้นดิน แต่ยังตกไม่ถึงพื้น ตะไลลูกก็จะติดไฟพลิกตัวแล่นขึ้นสู่อากาศ ตะไลเกี้ยว ตะไลเกี้ยว เป็นชื่อไฟที่เรียกขานกันมาแต่โบราณกาลเช่นกัน ตะไลชนิดนี้มีวิธีประดิษฐ์และวิธีการเล่นต่างไปจาก ตะไลชนิดอื่น นับว่าเป็นตะไลชั้นครูอีกชนิดหนึ่ง การเล่นตะไลเกี้ยว จะต้องประดิษฐ์ตะไลเดี่ยว ๓ ตัว ใช้เสาด่อน ๓ เสา เพื่อเสียบตั้งตะไลแต่ละตัว ตะไลตัวกลางจะไขรูดินอั่วหรือเจาะรูดินไฟให้แล่น ขึ้นสู่อากาศตรง ๙๐ องศา ตะไลตัวซ้ายให้ไขรูดินอั่วเวียนไปทางขวามือ คือให้แล่นเข้าหาตะไลตัวกลาง ส่วนตะไลตัวขวาให้ไขดินอั่วเวียนไปทางซ้าย ให้แล่น เข้าหาตะไลตัวกลางเช่นกัน เริ่มเล่นโดยจุดตะไลตัวกลางให้แล่นขึ้นสู่อากาศก่อน แล้วจึงจุดตะไลที่เหลือ ๒ ตัวพร้อมๆกัน เพื่อให้แล่นขึ้นสู่อากาศไล่ตามตัวแรก ถ้าตะไลตัวใดตัวหนึ่งในสองตัวนี้แล่นชนตัวแรกก็ดี หรือแล่นชนกันเองก็ดี นับว่าเป็นผลสำเร็จของการเล่นไฟชนิดนี้ เพราะทำให้ผู้ชมเกิดความสนุกสนาน การเล่นไฟชุดนี้ ตะไลตัวกลางเปรียบเสมือนหญิงสาวงาม และมีตะไลซ้ายขวา คือชายหนุ่ม ๒ คน ตามเกี้ยวพาราสี ถ้าตัวใดตัวหนึ่งชนตัวกลาง นั่นคือ สมหวังในความรัก แต่ถ้าชนกันเองก็เปรียบได้ว่าผิดหวังทั้งคู่