การแต่งกายของผู้หญิงมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ที่สืบทอดมาแต่โบราณ บ้างก็ว่าคล้ายกับการแต่งกายของชาวมาเลเซีย บ้างก็ว่าคล้ายกับของชาว อินโดนีเซีย ซึ่งตามคำกล่ววนี้ก็ไม่คล้าย หรือเหมือนกันทีเดียว เพียงแต่ได้รับอิทธิพลบ้างอันสืบเนื่อง มาจากการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรม การแต่งกายของหญิงไทยมุสลิมตามประเพณีดั้งเดิม ที่สืบทอดและวิวัฒนาการมาอีกขั้นหนึ่ง คือ ชุดบานง ภาษามลายูกลาง เรียกว่า บันดง มาจาก Banduang ชื่อเมืองทางตะวันตกของเกาะชวา เป็นเสื้อที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซีย เสื้อบานงมักตัดด้วยผ้าเนื้อค่อนข้างบาง อาจปักฉลุลวดลายตรงชายเสื้ออย่างสวยงามเป็นเสื้อคอวี ผ่าหน้าและพับริมปกเกยซ้อนไว้ตลอด กลัดด้วยเข็มกลัดสวยๆ ๓ ตัว ชายเสื้อด้านหน้าแหลม แขนเสื้อยาวรัดรูปจรดข้อมือ เสื้อบานงใช้นุ่งกับผ้าถุงธรรมดาหรือผ้ายกหรือผ้าพันที่ท้องถิ่นนี้เรียกว่า "กาเฮงบือเละ" ผ้าพันเป็นผ้าลวดลายปาเต๊ะยาวประมาณ ๓ เมตร ไม่เย็บเป็นถุง วิธีนุ่งผ้าพันนั้นไม่ง่ายนัก ต้องมีเทคนิคเฉพาะเพื่อให้ก้าวขา เดินได้สะดวก ชายผ้าด้านนอกอาจจีบทบแบบจีบหน้านาง หรือม้วน หรืออาจปล่อยให้สุดปลายผ้าไว้เฉยๆ โดยเหน็บชายผ้าตรงกลางสะเอว และนิยมให้ปลายผ้าด้านล่างทะแยงเล็กน้อยด้วย การแต่งกายชุดบานง เมื่อใส่เสื้อชุดบานงเรียบร้อยแล้วนิยมใช้เครื่องประดับตกแต่งร่างกาย เพื่อความสวยงามยิ่งขึ้น และเพื่อแสดงถึงฐานะ เช่น เข็มกลัด สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไลมือและต่างหู ต่อมามีการประยุกต์เสื้อบานง เป็นอีกแบบหนึ่ง คือ เป็นเสื้อคอวีลึก ปิดทับด้วยลิ้นผ้าสามเหลี่ยม เสื้อแบบนี้เรียกว่า "บานงแบแด" ภาษามลายูกลาง เรียกว่า บันนงเมดาเป็นชื่อเมืองทางเหนือของเกาะ สุมาตรา เป็นเสื้อที่ได้รับอิทธิพลจากอินโดนีเซีย ผ้าที่นิยมใช้ตัดเสื้อแบบนี้ นิยมตัดด้วยผ้าลูกไม้ ผ้ากำมะหยี่ ผ้าต่วน และผ้าชีฟอง เสื้อบานงแมแดอาจจะนุ่งกับผ้าถุงธรรมดา ผ้าถุงสำเร็จ ผ้าพัน หรือกระโปรงยาว ปลายบานก็ได้ การแต่งกายของหญิงไทยมุสลิมด้วยชุดบานงดังที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงเอกลักษณ์ ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้เป็นอย่างดี ควรแก่การอนุรักษ์สืบไป