สังคมชุมชนไทลื้อ แต่ก่อนนั้นเป็นสังคมที่โดดเดี่ยวออกจาก ตัวเมืองลำปาง ทั้งปัจจัยของระยะทางและอื่นๆ ดังจะกล่าวต่อไป ชาวไทลื้อลำปาง เรียกคนเมืองว่า อิ้ว (ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่ใช่ลื้อ) บางทีก็เรียกว่า บ่าเจ้ากอน ที่หมายถึง คนเมืองลำปาง และจะไม่พอใจหากมีใครมาเรียกตนเองว่า ลื้อ หรือ บ่าลื้อ (ผลวิจัยเมื่อราวพ.ศ.2535) ความเข้าใจผิดและการปกปิดตัวเอง? ด้วยความไม่รู้ และไม่พยายามจะเข้าใจกัน ทำให้ชาวไทลื้อถูกมองอย่างดูถูก โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่าชาวไทลื้อเป็นพวก ขี้ตู้ด(โรคเรื้อน) จนถึงขนาดว่า ไม่ยอมซื้อผลิตผลทางการเกษตร จากชาวไทลื้อเลยก็มี?จากการสังเกตทั่วไป จะเห็นว่าชาวไทลื้อมักจะไม่เปิดเผยตัวต่อคนทั่วไปว่าตนเป็นใคร มักจะเลี่ยงตอบเมื่อมีคนถาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่ต้องปฏิเสธตัวตนของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันชาวไทลื้อมีสำนึกของตัวตนท้องถิ่นสูงมาก ที่เห็นได้ชัดก็คือ การรักษาวัฒนธรรมภาษาพูดในถิ่นของตน สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ด้วยแรงกดดันดังกล่าว นอกจากทำให้ชาวไทลื้อลำปางมีความรักและสามัคคีในหมู่พวกพ้องสูงแล้ว ชาวไทลื้อจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของตนให้เทียบเท่าหรือสูงกว่าคนทั่วไป เช่น ความสามารถในการพูดได้หลายภาษา ตั้งแต่ภาษาไทลื้อ คำเมือง ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ทั้งที่ความเป็นอยู่ของผู้คนล้วนมีความแตกต่างหลากหลายอยู่ในตัว สังคมที่มีวุฒิภาวะและจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อสามารถดึงศักยภาพในความอุดมสมบูรณ์ของวัฒนธรรม ความคิด เข้ามาสังสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม วิถีชีวิต ชาวไทลื้อ ศาสนา ความเชื่อของชาวไทลื้อก็ไม่ต่างไปจากคนเมืองทั่วไปนักที่นับถือผี และพุทธ(มีวัดประจำทุกหมู่บ้าน) โดยมีวัดกล้วยหลวงเป็นวัดแรกที่ก่อสร้าง??แต่วัดพระธาตุดอยม่วงคำ ถือเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมของการพบปะกัน โดยเฉพาะในช่วงงานประเพณี แต่ที่น่าสังเกตก็คือ การรับเชื่อ เป็นคริสเตียนของชาวไทลื้อ ถึงกับมีการสร้างโบสถ์ 1 แห่ง คือ คริสตจักร เกียรติการุณ ภาคที่3 ลำปาง ที่บ้านกล้วยหลวง และสุสานคริสเตียน ณ บ้านกล้วยหลวงเช่นกันแต่คนละบริเวณ มีการยืนยันอีกว่า ในสมัยที่คริสเตียนเข้ามาใหม่ๆ ชาวไทลื้อได้รับโอกาสทางการศึกษามากขึ้น เช่น การเข้าเรียนโรงเรียนเคนเน็ตแม็คเคนซี หรือ โรงเรียนวิชชานารี บางคนมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศอีกด้วย อาหารกิน ชาวไทลื้อลำปาง มีการกินอยู่อย่างง่ายๆ ไม่พิถีพิถัน กินอาหารที่หาได้จากธรรมชาติตามฤดูกาล เช่น หน่อไม้และผักต่างๆรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก แต่ละมื้อจะมีอาหารเพียงอย่างเดียว แม้แต่การแต่งกายของชาวไทลื้อ ในปัจจุบันก็จะคล้ายกับชาวเหนือทั่วไป แต่เดิมนั้น ผู้หญิงจะใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินหรือดำ รัดรูป ผ่าอก เอวสั้น แขนกระบอก นุ่งซิ่นด้วยผ้าฝ้าย ส่วนทรงผมนิยมเกล้าผม ส่วนชายไทลื้อนิยมนุ่งเตี่ยวสะดอ เสื้อย้อมเมล็ดนิล หรือคราม ปล่อยชายเสื้อยาวถึงหัวเข่า ทรงผมตัดเกรียนที่ท้ายทอย เวลาไปทำงานนิยมสะพายย่ามที่เรียกว่า ถุงปื๋อ แต่ปัจจุบันคงจะต้องไปหาดูในหนังสือหรือพิพิธภัณฑ์เสียแล้ว การทำมาหากิน อาชีพที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ การรับจ้างทำงานโยธา ที่เรามักพบชายไทลื้อ จอดรถจักรยานพร้อมอุปกรณ์ครบมือ(จอบ ปุ้งกี๋ มีด บางทีก็พกขวานไปด้วย) และนั่งรอการว่าจ้างอย่างสบายอารมณ์ บริเวณถ.พหลโยธิน ช่วงโรงเรียนลำปางกัลยาณี และพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งที่อาชีพอื่นๆของชาวไทลื้อก็มีเช่น การค้าขาย เกษตรกรรม