หลวงพ่อทอง เป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดเพชรบุรีที่ประชาชนคนไทยเคารพเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์ พุทธลักษณะ ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุสัมฤทธิ์ปิดทอง ขนาดหน้าตักกว้าง ๒๑ นิ้ว สูง ๒๙ นิ้ว ศิลปะเชียงแสน คนโบราณเกรงจะสูญหายจึงทำองค์ใหญ่หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง ดังที่ปรากฏตามประวัติดั้งเดิมของหลวงพ่อวัดเขาตะเครา ที่เล่ากันสืบมานั้นได้มีการเล่าเป็นนิยายปรำปราดังนี้
เล่ากันว่าเดิมทีเดียวนั้นมีพระสงฆ์สององค์ สามเณร ๑ องค์ เป็นพี่น้องกัน ซึ่งมีฤทธิ์เดชเวทย์มนต์แรงกล้ามากทั้งสามองค์ได้ทดลองวิชากัน องค์ที่ทำน้ำมนต์ไว้สั่งองค์ที่สองว่าถ้ากระโดดลงไปในน้ำแล้วกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาให้ใช้น้ำมนต์รดลงไปจึงจะกลับเป็นสงฆ์ตามเดิม เมื่อองค์ที่กระโดดลงไปในน้ำนั้นและกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาจริงๆ แล้ว องค์ที่ ๒ ไม่รดน้ำมนต์และว่าเมื่อพี่ทำได้ตนก็ทำได้ องค์ที่ ๒ จึงสั่งองค์ที่ ๓ ที่เป็นเณรว่าถ้ากระโดดลงไปและกลายเป็นพระพุทธรูปขึ้นมาแล้วให้ใช้น้ำมนต์รด แล้วองค์ที่ ๒ ก็กระโดดลงไปในน้ำและกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาอีก องค์ที่ ๓ ที่เป็นเณรเห็นดังนั้นก็ว่าพี่ๆ ทำได้ตนก็ทำได้จึงกระโดดลงไปบ้าง ก็กลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาเมื่อไม่มีองค์ใดเอาน้ำมนต์ลง เช่นนี้จึงกลายเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำเช่นนั้น
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๐๒ สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงต่อพม่า ชาวบ้านเพชรจังหวัดเพชรบุรีอพยพหนีพม่าไปตั้ง บ้านเรือนอยู่ที่ ปากคลองแม่กลองอำเภอเมืองสมุทรสงคราม เดิมชื่อวัดศรีจำปา ปัจจุบันเรียกวัดบ้านแหลม หรือวัดเพชรสมุทร ปัจจุบันวัดศรีจำปานี้เป็นวัดร้างเพราะทรุดโทรม ชาวบ้านแหลมอพยพไปอยู่ได้ช่วยกันบูรณะ ก่อสร้างใหม่แล้วให้ชื่อว่าวัดบ้านแหลมเป็นอนุสรณ์ของชาวบ้านแหลมเป็นผู้สร้าง ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นวัดเพชรสมุทร วันหนึ่งชาวบ้านแหลมเหล่านี้ซึ่งมีอาชีพทางประมงออกไปเที่ยวหาปลาลากอวน ไปพบพระพุทธรูปยืนจึงนำพระพุทธรูปองค์ยืนไปประดิษฐานไว้ที่ ณ วัดบ้านแหลม(วัดศรีจำปา) ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" ตามนามที่ได้พระพุทธรูปมา อีกองค์หนึ่งคือพระพุทธรูปนั่งได้มอบให้กับชาวบางตะบูน ซึ่งคงจะเป็นพรรคพวกหรือญาตพี่น้อง ชาวบางตะบูนจึงนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดเขาตะเครา และเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา" จนปัจจุบันถ้าจะนับแต่ปีที่นำมานั้นรวมได้มากกว่า ๒๑๓ ปี
ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
เล่าปรากฏการณ์โดย พระครูวชิรกิจโสภณ เจ้าอาวาสวัดเขาตะเครา เจ้าคณะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันเกิดของท่านพระครูฯ และได้มีการจัดงานฉลองฯ โดยคณะศิษย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างสร้างมณฑป และถัดจากวันเกิดของท่านพระครูฯ อีก ๒ วัน คือในคืนวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๗ ขณะท่านพระครูฯ กำลังจำวัด ได้นิมิต (ในฝัน) ว่าได้มีพระอาวุโสมากรูปหนึ่ง ได้นำถุงบรรจุทองคำยื่นให้กับท่านพระครูฯ และพระอาวุโสรูปนั้นได้พูดว่า “เอาไป” หลังจากนั้นพระอาวุโสมากรูปนั้นในนิมิตก็ได้จากไป...พอวันรุ่งขึ้นวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๗ ท่านพระครูฯ ได้เล่าความฝัน (ในนิมิต) ดังกล่าวให้กับพระลูกศิษย์ฟัง พระลูกศิษย์วัดเมื่อได้ยินความฝันตามที่ท่านพระครูฯ เล่าให้ฟังจบแล้ว ก็ได้พูดขึ้นว่าสงสัยท่านพระครูฯ จะได้ลาภ(สักการะ) จากหมู่คณะผู้ศรัทธาฯ เป็นแน่
ต่อมาในวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ซึ่งเป็นวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๗ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น.เศษ มีเณรลูกวัดรีบวิ่งมาบอกกับท่านพระครูฯ ว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในโบสถ์ ท่านพระครูฯ และเณรรูปนั้น จึงได้รีบพากันไปที่โบสถ์ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าท่านพระครูฯ ขณะนั้นก็คือ ได้เกิดไฟไหม้ลุกท่วมองค์หลวงพ่อทอง และไฟได้ลุกลามไหม้ขึ้นบนยอดฉัตร และด้ายสายสิญจน์ที่โยงมาจากพระประธาน ในปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ดังกล่าว ได้เห็นไฟที่กำลังลุกท่วมองค์หลวงพ่อทองเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าได้ถึง ๙.๙ กิโลกรัม ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว!! ท่านพระครูฯ จึงได้นำก้อนทองคำดังกล่าวมาทำเป็นลูกอมทองไหล หลวงพ่อทอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปก้อนทองทรงกลมเนื้อเนียนแน่น และมีรูปถ่ายสีขาวดำของหลวงพ่อทองติดอยู่ในรูปทรงกลม หุ้มด้วยเรซิ่นสีเหลืองใสหล่อเป็นรูปดอกบัว ลูกอมทองไหลดังกล่าวได้เปิดออกให้ประชาชนผู้ศรัทธาฯ เช่าบูชา ทำให้มีรายได้เข้าวัดเป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดได้นำไปสมทบสร้างมณฑป สร้างโรงเรียน
เดินระบบน้ำประปา อีกทั้งสมทบสร้างศาลาเอนกประสงค์
***หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ "หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา" สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อแต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะ เดิมช่างภาพคนนี้จึงไปลอกผิวเปลวทองที่ติดหน้าพระพักตร์หลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ทองที่ปิดองค์พระนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า"ทอง" ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็นหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา
หมายเหตุ จากหนังสืออนุสรณ์ ผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี และหนังสือหลวงพ่อวัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี