ประวัติ
นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๘๘ ที่บ้านด่าน ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ (โคกปีบ) จังหวัดปราจีนบุรี บิดาเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน ชื่อนายสำเภา วงษ์เทศ มารดาชื่อนางลิ้นจี่ วงษ์เทศ เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง ๖ คน สมรสกับนางปราณี วงษ์เทศ (สกุลเดิม เจียรดิษฐ์-อาภรณ์) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ มีบุตร ๒ คน
การศึกษา
เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดต้นโพธิ์ อำเภอศรีมโหสถ แล้วเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพมหานคร
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ ที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริยาราม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ ที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ
และชั้นมัธยมปีที่ ๘ ที่โรงเรียนผดุงศิษย์พิทยา สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
การทำงาน
นายสุจิตต์ วงศ์เทศ เป็นทั้งนักประพันธ์ (ร้อยแก้วและร้อยกรอง) นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักหนังสือพิมพ์
อาจารย์สอนวิชาภาษาไทย ปัจจุบันเป็นเจ้าของและบรรณาธิการวารสารศิลปวัฒนธรรม
สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้รับรางวัล " ศรีบูรพา " ประจำปี พ.ศ.๒๕๓๖
เขาเล่าว่า เขาไม่เคยปรารถนาจะเป็นนักเขียน หากเขียนตามแรงยุของ เพื่อนสนิท ๒ คน ขรรค์ชัย บุนปาน
และ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ เรื่องสั้นเรื่องแรก คือ ขุนเดช ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ในชื่อเรื่อง "คนบาป" ชุด " ขุนเดช" เมื่อเรื่องได้รับการตีพิมพ์ลงในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ " ผมคิดว่า เราก็เขียนหนังสือได้นี่ ตอนนั้นเรื่องสั้น ใครได้ลงสยามรัฐ สัปดาหวิจารณ์ ก็เหมือนเรียนจบมหาวิทยาลัย
ความบันดาลใจเขียนหนังสือของผมเกิดขึ้นตอนนั้น " ตั้งแต่เยาว์วัย เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพราะมาเรียนหนังสือที่วัดมกุฎกษัตริยาราม และพักที่วัดเทพธิดารามซึ่งเป็นวัดที่สุนทรภู่บวชเมื่อครั้งแต่งเรื่องพระอภัยมณี ที่วัดนี้มีหนังสือมากมายซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่สนใจไขว่คว้า เมื่อมีเวลาว่าง
ก็จะไปซื้อหนังสือวรรณคดีโบราณ หนังสืองานศพมาอ่าน โดยไปกับ ขรรค์ชัย บุนปาน เพื่อนรักที่เรียนอยู่วัดนวลนรดิศ การอ่านทำให้ได้ความรู้ ความสนุกสนานเพลิดเพลินและทำให้ได้ภาษาซึมซาบไปด้วย
เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วเขาไปสมัครทำงานที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ต่อมาจึงมาบริหารงานโรงพิมพ์พิฆเณศ เมื่อเกิดเหตุการณ์มหาวิปโยค ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔ จึงมาร่วมงานกับขรรค์ชัย บุญปานทำหนังสือพิมพ์รายวัน " ประชาชาติ " จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลได้สั่งปิดโรงพิมพ์
สุจิตต์ได้วิเคราะห์ว่าตนเองไม่เหมาะกับการทำหนังสือพิมพ์รายวันเพราะใจไม่ถึง แข็งแกร่งไม่พอ สู้ไม่ไหว
เหมาะที่จะทำงานค้นคว้ามากกว่า ต่อมาจึงได้ไปบริหารงานโรงพิมพ์เรือนแก้วราวปี พ.ศ. ๒๕๒๒ กระแสความรักวัฒนธรรมรุนแรงขึ้นมาก นักวิชาการหลายคนออกมาพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เช่น "นางนพมาศสุโขทัย" "คนไทยมาจากเทือกเขาอันไต" แต่หลักฐานข้อมูลไม่ชัดเจนและไม่ตรง สุจิตต์จึงได้ออกวารสารชื่อ "ศิลปวัฒนธรรม" และตีพิมพ์บทความเรื่อง " คนไทยมาจากไหน? " ทำให้เกิดความฮือฮาทั่วประเทศ เขากล่าวว่า " ที่ผมทำ ศิลปวัฒนธรรม เพราะผมค้างคาในใจจากการที่ผมเรียนด้านนี้มา สนใจประวัติศาสตร์ไทย แต่ประวัติศาสตร์ไทยไม่ค่อยรัดกุม ไม่ยืนอยู่บนฐานข้อเท็จจริง คนทั่วไปไม่คอยเชื่อเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ไม่รู้เถียงอะไร ประวัติศาสตร์ไทยมีแต่สงครามของวีรบุรุษไม่มีมนุษย์ ไม่มีสังคม ไม่มีบ้านเมือง ขาดการวิเคราะห์ ขาดการแสวงหาข้อเท็จจริง
เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่า ถ้านักวิชาการเขียน อ่านลำบาก ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ทำออกมาให้อ่านง่าย ผมคิดว่าถ้าเราต้องการสื่อสารให้คนอื่นอ่านทั่วไป ต้องทำออกมาง่ายๆ บ้าง ผมคิดว่าเอาวิธีการทางหนังสือพิมพ์มานำเสนอ น่าสนใจดี
ปรากฏว่าประชาชนทั่วไปให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง และเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบัน
นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๔๕
รางวัล& เกียรติคุณ
๒๕๒๗ รางวัลดีเด่นประเภทวารสาร มอบโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
๒๕๓๖ รางวัลศรีบูรพา มอบโดยกองทุนศรีบูรพา
๒๕๔๕ รางวัล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ มอบโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ผลงานประพันธ์
นิราศ (๒๕๐๗),
กลอนลูกทุ่ง (๒๕๐๘),
เห่ลูกทุ่ง (๒๕๐๙),
ครึ่งรักครึ่งใคร่ (๒๕๑๑),
ศรีมหาโพธิ์ และ ศรีวัตสะปุระ (๒๕๑๑) ,
Kuเป็นนิสิตนักศึกษา (ม.ค. ๒๕๑๒) ,
ขุนเดช (พ.ค. ๒๕๑๒) ,
หนุ่มหน่ายคัมภีร์ (๒๕๑๒),
อยุธยายศล่มแล้ว (๒๕๑๒) ,
เดินหน้าเข้าคลอง (๒๕๑๓),
หันหลังชนกัน (เม.ย. ๒๕๑๓),
ประดาบก็เลือดเดือด (เม.ย. ๒๕๑๔) ,
มุกหอมบนจานหยก (๒๕๑๔),
เมด อิน .ยู.เอส..เอ. ภาค ๑ (๒๕๑๖),
โง่เง่าเต่าตุ่น (เมด อิน ยู.เอส.เอ. ภาค ๒) (๒๕๑๖) ,
หยิบเงามาชักเงา (๒๕๑๗),
ไผ่ตัน (๒๕๑๘),
เพลงยาวถึงนายกรัฐมนตรี (๒๕๑๙) ,
เจ้าขุนทองไปปล้น (พ.ค. ๒๕๒๔),
เสภาไพร่ (เม.ย. ๒๕๒๕),
เสภาเผด็จการ (มี.ค.๒๕๒๖),
เสภาน้ำท่วมหาบเร่ ,
เสภาราชสดุดี (๒๕๓๐),
กรุงเทพฯมาจากไหน ? (เม.ย. ๒๕๒๖) ,
สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย (พ.ย.๒๕๒๖) ,
คนไทยไม่ได้มาจากไหน,
คนไทยอยู่ที่นี่,
บ้านเชียง,
ฯลฯ