1.นำดินเหนียวที่บดเป็นผงที่ได้จากการตำหรือบดด้วยครกโบราณ โรยบนภาชนะรองรับ เช่นผ้า กระสอบ พลาสติก เพื่อไม่ให้ดินเหนียวที่นำมาคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกันติดภาชนะที่รองรับและเกิดความหนืดสามารถที่จะจับตัวกันปั้นเป็นก้อนได้
2. นำดินเหนียวที่คลุกเคล้านวดเข้ากันได้ที่แล้วปั้นเป็นก้อน และห่อไว้ด้วยแผ่นพลาสติกหรือกระสอบ พรมน้ำให้ชื้น เพื่อไม่ให้ดินแห้งและสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานแบ่งดินออกเป็นส่วนๆ ปั้นเป็นก้อนดินลูกกลมๆยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร ประมาณ 5 – 7 ท่อนต่อครกหนึ่งลูก
3.นำก้อนดินเหนียวที่ปั้นเป็นลูกๆมาขึ้นรูปครก(ฐานล่าง) บนเฝียนหรือแป้นหมุนและใช้ดินที่เตรียมไว้ขึ้นตัวครก ไปเรื่อย ๆ จนได้ครกที่มีขนาดที่ต้องการการหมุนแป้นใช้มือหมุนใช้ผ้าชุบน้ำในการจัดรูปร่างครกให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ
4. การทำลวดลายครกในบางครั้งที่ลูกค้าต้องการโดยการใช้ไม้ไผ่ขนาดเล็กๆ ขีดไปตามขอบปากครกให้เป็นลวดลายที่ต้องการ
5. นำครกที่ปั้นขึ้นรูปเสร็จเรียบร้อยแล้วไปจัดเก็บวางเรียงบนพื้นที่เตรียมไว้ โดยการผึ่งลม ห้ามไม่ให้ถูกแสงแดดเพราะจะทำให้ครกแห้งเร็วและแตกร้าวครกที่ผึ่งลมจนแห้งแล้ว จะมีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย เนื่องจากเกิดการระเหยของน้ำและการหดตัวของดิน ในตัวครก และจะได้สีผิวที่มีสีแดงตามธรรมชาติของแหล่งดิน
6.เมื่อได้ครกที่แห้งตามจำนวนขนาดของเตาเผาแล้วก็จะนำครกเข้าเตาเผาที่เตรียมไว้โดยใช้เวลาในการเผา ประมาณ 5 วัน ต้องคอยเติมฟืนและควบคุมความร้อนของเตาให้เหมาะสม(ชาวบ้านเรียกว่า การชัดฟืน) โดยวิธีการสังเกตจากเสียงของครกระหว่างที่เผา ถ้าเกิดเสียงดังภายในแสดงว่าไฟแรงเกินไปจะทำให้ครกแตกร้าวต้องลดความร้อนลง และการทดลองเผาดินปั้นครกตัวอย่าง (ชาวบ้านเรียกว่าการยาม )นำขึ้นมาสังเกตดูสีที่ได้ตอนดินทดลองเย็นตัวลง ถ้าผิวดินตัวอย่างมีสีแดง แสดงว่าให้ความร้อนไม่เพียงพอ ถ้าความร้อนเพียงพอดินตัวอย่างจะมีสีผิวดำคล้ำเมื่อเย็นตัวลง หรือเมื่อนำดินตัวอย่างมาเคาะจะเกิดเสียงดังกังวาน
7. เปิดเตาเผาครก บริเวณด้านข้างเตาเผา ที่ลำเลียงครกเข้าเตาเผา
8.ปิดเตาเผาครก โดยใช้ดินเหนียวปิดปากเตาเผาบริเวณช่องที่เติมฟืน ปิดเตาไว้ประมาณ 2 -3 วัน
9.วันที่ 5 - 6 ก็จะลำเลียงครกออกมาตากแดดพร้อมจำหน่าย