(๑๕๖) ๏ ถึงย่านบ้านรัดช้าง ปางหลัง
ข้างถูกผูกรึงรัง รัดไว้
พลัดพรากจากฝูงพัง พวกเพื่อน เถื่อนเอย
เพียงพี่ที่ทุเรศไร้ นิราศร้างห่างสมรฯ
(๑๕๗) ๏ บ้านตั้งฝั่งฟากน้ำ ธรรมกูล
วัดทร่างปางก่อนสูญ สงัดเศร้า
ขอบเขื่อนเกลื่อนอิฐปูน เปื่อยเปล่า เจ้าเอย
โบสถ์ยับทับพระเจ้า เจิ่งน้ำกรำฝนฯ
(๑๕๘) ๏ ยลย่านบ้านหนึ่งนั้น แนะนาม
วัดสว่างอารมอาราม รื่นไม้
สว่างแต่ที่พี่ยาม มืดมิด จิตรเอย
ห่อนสว่างอย่างไว้ ชื่ออ้างสว่างอารมฯ
(๑๕๙) ๏ โพพระระยะหญ้าน หญ่อมไพร
โพชื่นรื่นร่มใบ โบกรย้า
โปรดด้วยช่วยคุ้มไภย พยัฆพยศ คดเอย
โพพระอนุเคราะห์ข้า พระเจ้าคราวเข็นฯ
(๑๖๐) ๏ โพพญาท่าตลิ่งล้วน ฬ้อเกวียร
โพไผ่ไม้เต็งตเคียน ตขบบ้าง
ซิกซากกระบากกระเบียน กระเบากระแบก กระบกแฮ
เสลาสลอดสลับสล้าง เหล่าไม้ใกล้กระสินฯ
สุนทรภู่แต่งนิราศสุพรรณขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๗๔ ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ และเดินทางไปเมืองสุพรรณโดยทางเรือ วัตถุประสงค์ในการเดินทางคือเพื่อหาแร่ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาแปรธาตุชนิดอื่นได้ ซึ่งเรียกกันว่า "เล่นแร่แปรธาตุ"
นิราศสุพรรณนี้เป็นเพียงร้อยกรองเรื่องเดียวของท่านที่แต่งเป็นโคลง ทำนองจะลบคำสบประมาทว่าท่านแต่งได้แต่เพียงกลอน ในนิราศเรื่องนี้ เราจะพบท่านสุนทรภู่แต่งโคลงกลบทไว้หลายต่อหลายรูปแบบ และโคลงที่มีสัมผัสในเหมือนอย่างกลอนที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า ท่านสุนทรภู่ใช้คำเอกโทษ โทโทษ เปลืองที่สุด ด้วยหมายจะคงความหมายดังที่ต้องการ ส่วนการรักษารูปโคลงเป็นเพียงเรื่องรอง ทำให้ได้รสชาติในการอ่านโคลงไปอีกแบบหนึ่ง เพราะต้องเดาด้วยว่าท่านต้องการจะเขียนคำว่าอะไร